แชร์

โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบอาชีพได้

อัพเดทล่าสุด: 29 พ.ค. 2024
285 ผู้เข้าชม

โจทก์เรียกค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบอาชีพได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1794/2517

คำพิพากษาย่อสั้น
     จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างบริษัทจำเลยที่ 2 บริษัทจำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถคันเกิดเหตุไปในธุรกิจของบริษัทจำเลยที่ 2 แล้วไปเกิดเหตุขึ้น โดยชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์เสียหาย และโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะจำเลยที่ 1 ขับรถเลี้ยวเพื่อเดินทางกลับบริษัทจำเลยที่ 2 ดังนี้ ถือว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ยังอยู่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์
ในกรณีเสียหายแก่ร่างกายนั้น การรักษาพยาบาลในเวลาอนาคต นับว่าเป็นค่าเสียหายโดยตรง ศาลคิดค่าเสียหายดังกล่าวให้ได้ ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
เมื่อผลของการละเมิดทำให้โจทก์เสียหายถึงทุพพลภาพโจทก์ย่อมเรียกค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบอาชีพได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 และ ความทุพพลภาพที่เกิดขึ้นยังเข้ากรณีเป็นความเสียหายแก่ร่างกายของโจทก์ตามมาตรา 446 ด้วย โจทก์จึงเรียกได้ทั้งสองประการ
การที่โจทก์ฎีกาแต่เพียงว่า โจทก์ขอถือเอาอุทธรณ์ของโจทก์ในคดีนี้เป็นคำฟ้องฎีกาของโจทก์ด้วยนั้น เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาย่อยาว
     โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขณะปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกโดยความประมาท ปราศจากความระมัดระวัง ชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ของโจทก์เสียหาย และโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลนับแต่วันเกิดเหตุจนบัดนี้เป็นเงิน 25,000 บาท และจะต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลต่อไปอีกอย่างน้อย 2 ปี ซึ่งต้องเสียค่ารักษาพยาบาลอีกไม่น้อยกว่า 30,000 บาท โจทก์ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิต ไม่อาจเดินได้เช่นบุคคลธรรมดา และไม่อาจประกอบอาชีพได้ ต้องขาดรายได้เดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันเกิดเหตุถึงวันฟ้องเป็นเงิน 13,500 บาท และต้องขาดรายได้ในอัตราดังกล่าวต่อไปอีกตลอดชีวิต โจทก์ขอคิดเพียง 10 ปี เป็นเงิน 180,000 บาทกับขอคิดค่าเสียหายทางร่างกายและอนามัยเพราะเหตุทุพพลภาพอีกเป็นเงิน 50,000 บาท รวมค่าเสียหาย 298,500 บาท โจทก์ได้รับชดใช้ค่ารักษาตัวแล้วบางส่วน เป็นเงิน 5,000 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันชดใช้เงิน 293,500 บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า มิได้ประมาท โจทก์เป็นฝ่ายประมาทโจทก์ไม่เสียหายตามฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จริง แต่จำเลยที่ 1 ขับรถไปในธุรกิจนอกทางการที่จ้างโจทก์เป็นฝ่ายประมาท ทำให้รถของจำเลยที่ 2 เสียหายเป็นเงิน 150 บาทจำเลยที่ 1 ได้ช่วยค่ารักษาพยาบาลจนโจทก์พอใจแล้ว ค่าเสียหายตามฟ้องเป็นความเท็จ ค่ารักษาตัวที่อ้างมาเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งเรียกค่าซ่อมเป็นเงิน 150 บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 เคลือบคลุมจำเลยที่ 1 ประมาทฝ่ายเดียว
ศาลชั้นต้นพิจารณาเห็นว่า ฟ้องไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ไปชนรถโจทก์เสียหาย และโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจริง พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่ารักษาพยาบาล 25,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลแต่วันฟ้องต่อไปอีก 2 ปี เป็นเงิน 15,000 บาท ค่าขาดรายได้นับแต่วันเกิดเหตุถึงวันฟ้องเป็นเงิน 13,500 บาท ค่าขาดประโยชน์รายได้นับแต่วันฟ้องเดือนละ 900 บาท ต่อไปอีก 5 ปี เป็นเงิน 54,000 บาท และค่าสินไหมทดแทนการสูญเสียความสามารถในการประกอบการงาน 25,000 บาท รวมเป็นเงิน 132,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยให้ยกฟ้องแย้ง
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่ารักษาพยาบาลตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงวันฟ้องโดยลดลงเหลือ 15,706 บาท นอกนั้นเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาทเฉี่ยวชนโจทก์ซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์มาได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของบริษัทจำเลยที่ 2 บริษัทจำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถคันเกิดเหตุบรรทุกของไปส่งให้ผู้มีชื่อแล้วเกิดเหตุขณะจำเลยที่ 1 ขับรถเลี้ยวเพื่อเดินทางกลับบริษัทจำเลยที่ 2 ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 อยู่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ด้วย
ในปัญหาเรื่องค่ารักษาพยาบาลของโจทก์ในอนาคตอีก 2 ปีนับแต่วันฟ้อง ซึ่งศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์ 15,000 บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า หลังจากวันฟ้องแล้วได้ความว่าโจทก์ยังต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลต่อมา นอกจากจะต้องทำการผ่าตัดและรักษาบาดแผลต่อไป โจทก์จะต้องไปรักษาที่แผนกกายบำบัดอีกอย่างน้อย 1 ปีนับว่าเป็นค่าเสียหายโดยตรง และศาลก็คิดค่าเสียหายจำนวนนี้ให้ได้ตามควรแก่พฤติการณ์ และความร้ายแรงแห่งละเมิด ซึ่งจำเลยจะต้องชดใช้ให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444
ในปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ค่าขาดรายได้ในการเสียความสามารถประกอบการงานนับแต่วันเกิดเหตุถึงวันฟ้อง ศาลกำหนดให้จำเลยใช้ให้โจทก์ 13,500 บาท และนับจากวันฟ้องไปอีกเดือนละ 900 บาท เป็นเวลา 5 ปี เป็นเงิน 54,000 บาท เป็นการเรียกให้ชดใช้ซ้ำกันกับค่าทุพพลภาพจึงไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ผลของการละเมิดของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์เสียหายโดยทุพพลภาพเช่นนี้ โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบอาชีพได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 และความทุพพลภาพที่เกิดขึ้นยังเข้ากรณีเป็นความเสียหายแก่ร่างกายของโจทก์ตามมาตรา 446 ด้วย โจทก์จึงเรียกได้ทั้งสองประการ และค่าสินไหมทั้งสองประการนี้ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยให้ชดใช้แก่โจทก์ตามจำนวนที่เห็นได้ว่าพอสมควรแล้ว
ที่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเต็มตามฟ้องนั้นศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์กล่าวในฎีกาแต่เพียงว่า "โจทก์ขอถือเอาอุทธรณ์ของโจทก์ในคดีนี้เป็นคำฟ้องฎีกาของโจทก์ด้วย" เท่านั้น มิได้กล่าวคัดค้านโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าวินิจฉัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายข้อใดตอนใดผิดถูกแต่อย่างใด และเหตุใดโจทก์จึงควรได้ค่าสินไหมทดแทนมากกว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้โจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้กล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นฎีกาไว้โดยชัดแจ้ง จึงไม่เป็นฎีกาที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

ผู้พิพากษา
แต่ง ทองภักดี
สมชัย ทรัพยวณิช
เฟื่องขจิต รัศมิภูติ

แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ