รถไม่มีไฟหน้า ไฟเลี้ยวก็ใช้ไม่ได้ ทั้งมีการดื่มสุรา จุดที่รถจักรยานยนต์เลี้ยวกลับ ถูกจำเลยชนเสียชีวิต

รถจักรยานยนต์ที่ ส. ขับไม่มีไฟหน้า ไฟเลี้ยวก็ใช้การไม่ได้ ทั้งก่อนขับรถมีการดื่มสุรามาบ้างแล้ว จุดที่รถจักรยานยนต์เลี้ยวกลับเป็นทางลงเนินอยู่ในช่องเดินรถของจำเลย....
ถูกจำเลยชนเสียชีวิต จึงมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 983/2546
คำพิพากษาย่อสั้น
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาพบค่ำ รถที่วิ่งบนถนนทุกคันเปิดไฟแล้ว แสดงว่าถนนมืดรถจักรยานยนต์ที่ ส. ขับไม่มีไฟหน้า ไฟเลี้ยวก็ใช้การไม่ได้ ทั้งก่อนขับรถมีการดื่มสุรามาบ้างแล้ว จุดที่รถจักรยานยนต์เลี้ยวกลับเป็นทางลงเนินอยู่ในช่องเดินรถของจำเลย เชื่อได้ว่าเมื่อจำเลยขับรถยนต์กระบะลงเนินแล้ว จำเลยเห็นรถจักรยานยนต์เลี้ยวกลับในช่องเดินรถของตนในระยะกระชั้นชิด ทำให้ไม่สามารถบังคับรถยนต์ให้หยุดได้ทันท่วงที การที่รถยนต์ของจำเลยเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์เป็นเหตุให้ ส. และโจทก์ร่วม ที่นั่งซ้อนท้ายมาได้รับอันตรายสาหัส จึงมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลย
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์กระบะด้วยความประมาท จนเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่แล่นสวนทางมา ทำให้นายสัมฤทธิ์ โอดศรี ผู้ขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว เด็กชายวารินทร์ โอดศรี ผู้นั่งซ้อนท้ายได้รับอันตรายสาหัส นายยอด ป้อมปัญญา ผู้นั่งซ้อนท้ายอีกคนหนึ่งได้รับอัตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300, 390, 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาเด็กชายวารินทร์ โอดศรี ผู้เสียหายโดยนายจำรัส โอดศรี บิดาผู้แทนโดยชอบธรรมยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูกเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300, 390)
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับเป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43(4), 157 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี และปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2539 เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยได้ขับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน ผ - 1281เชียงใหม่ เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ไม่มีหมายเลขทะเบียนที่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 48 หมู่ที่ 4 ตำบลดอยหล่อ กิ่งอำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเหตุให้นายสัมฤทธิ์คนขับรถจักรยานยนต์ โจทก์ร่วมคนซ้อนท้ายได้รับอันตรายสาหัส และนายยอดป้อมปัญญา คนซ้อนท้ายอีกคนหนึ่งได้รับอันตรายแก่กาย คดีมีปัญหาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ร่วมเบิกความว่า ในวันเวลาเกิดเหตุโจทก์ร่วมเห็นรถยนต์จำเลยขับสวนทางแซงรถยนต์คันหน้าล้ำเข้ามาในช่องเดินรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ร่วมนั่งซ้อนท้าย เป็นเหตุให้รถยนต์จำเลยชนกับรถจักรยานยนต์ทำให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส ส่วนจำเลยเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุขณะที่จำเลยขับรถยนต์ลงจากเนินเส้นทางถนนเชียงใหม่ - ฮอด เห็นรถจักรยานยนต์วิ่งตัดหน้าจากข้างถนนฝั่งซ้ายมือไปทางด้านขวามือของถนนห่างประมาณ 5 เมตร จำเลยหักรถหลบไปทางขวามือแต่ไม่พ้นเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกัน เห็นว่า หากรถยนต์จำเลยขับแซงรถยนต์คันอื่นเข้ามาชนรถจักรยานยนต์ในช่องเดินรถจักรยานยนต์ตามคำของโจทก์ร่วมแล้ว ความเสียหายของรถทั้งสองคันน่าจะอยู่ที่ส่วนหน้า แต่จากคำเบิกความของร้อยตำรวจโทประพันธ์ ไผ่วงษ์ รองสารวัตรกองวิทยาการตำรวจเชียงใหม่ ผู้ตรวจสอบร่องรอยอุบัติเหตุครั้งนี้ได้ความว่า รถทั้งสองคันเฉี่ยวชนกันในลักษณะด้านซ้ายของรถยนต์กระบะชนกับรถจักรยานยนต์ที่ตัวถังด้านขวา และได้ถ่ายรูปคู่กรณีไว้จำนวน 9 ภาพ จากภาพถ่ายดังกล่าวด้านขวาของรถจักรยานยนต์ถูกกระแทกอย่างแรงจนตัวถังยุบ สีเคลือบหลุด ฝาครอบกันลมแตก ด้านซ้ายมีรอยครูดที่ฝาครอบกันลม แฮนด์บิดงอไปทางขวา แท่งเหล็กที่ปลายเบาะมีดินติด แสดงว่ารถจักรยานยนต์ล้มไปทางซ้าย ส่วนรถยนต์กระบะความเสียหายปรากฏอยู่ที่ส่วนหน้าด้านซ้ายและขวา สภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงขัดกับคำของโจทก์ร่วม นายยอด พยานโจทก์และโจทก์ร่วมอีกปากหนึ่ง เบิกความว่าก่อนเกิดเหตุนายสัมฤทธิ์ โอดศรี โจทก์ร่วม และพยานแวะดื่มสุรากันก่อนกลับบ้าน เมื่อนายสัมฤทธิ์ขับรถจักรยานยนต์ห่างจากร้านสุราประมาณ 500 เมตร บนถนนเชียงใหม่ - จอมทอง มุ่งหน้าไปทางอำเภอจอมทอง พยานกับพวกตัดสินใจไปเยี่ยมเพื่อนที่ดอยหล่อซึ่งต้องย้อนกลับ นายสัมฤทธิ์จึงชะลอรถเพื่อเลี้ยวรถกลับ ขณะรถจักรยานยนต์อยู่ในช่องเดินรถห่างจากจุดกึ่งกลางถนนประมาณ 1 ศอก พยานเห็นรถยนต์กระบะในช่องทางรถสวนขับแซงรถยนต์คันอื่นเข้ามาชนรถจักรยานยนต์ที่พยานซ้อนท้าย ร้อยตำรวจเอกรัฐการ สุรงคบพิตร พนักงานสอบสวนเบิกความว่าจากการตรวจสถานที่เกิดเหตุเชื่อว่าจุดเฉี่ยวชนอยู่ในช่องเดินรถของจำเลย เนื่องจากมีรอยยางรถจักรยานยนต์ในลักษณะครึ่งวงกลมบริเวณกึ่งกลางถนน และมีรอยครูดจากรอยยางรถจักรยานยนต์มาถึงจุดที่รถจักรยานยนต์ล้มอยู่ รอยยางล้อรถจักรยานยนต์ลักษณะครึ่งวงกลมปรากฏในแผนที่สังเขป ในช่องเดินรถจำเลย ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ จุดที่รถจักรยานยนต์ล้มหลังเฉี่ยวชนอยู่ที่ขอบทางฝั่งช่องเดินรถจำเลย และมีรอยเลือดปรากฏอยู่กลางช่องเดินรถฝั่งจำเลย จากพยานหลักฐานดังกล่าวจึงน่าเชื่อว่านายสัมฤทธิ์ได้ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวกลับรถในช่องเดินรถจำเลยขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 18 นาฬิกาเศษ จากคำเบิกความของโจทก์ร่วมได้ความว่า ขณะนั้นรถที่วิ่งบนถนนทุกคันเปิดไฟหน้า เนื่องจากเป็นเวลาค่ำ แต่ตามสภาพรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุตามรายงานการตรวจสภาพและร่องรอยการเฉี่ยวชนและภาพถ่ายประกอบไม่ปรากฏว่ารถจักรยานยนต์มีไฟส่องหน้า หากอุบัติเหตุทำให้ไฟหน้าแตกก็ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่แสดงว่ารถดังกล่าวเคยมีไฟหน้ามาก่อน ร้อยตำรวจโทประพันธ์เบิกความว่าพยานตรวจรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุโดยละเอียด พบว่าไฟดวงใหญ่ด้านหน้าของรถจักรยานยนต์ดังกล่าวไม่มี ส่วนไฟเลี้ยวมีแต่ใช้การไม่ได้เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาพลบค่ำ รถที่วิ่งบนถนนทุกคันเปิดไฟแล้ว แสดงว่าถนนมืด รถจักรยานยนต์ที่นายสัมฤทธิ์ขับไม่มีไฟหน้า ไฟเลี้ยวก็ใช้การไม่ได้ ทั้งก่อนขับรถมีการดื่มสุรามาบ้างแล้ว จุดที่รถจักรยานยนต์เลี้ยวกลับเป็นทางลงเนินอยู่ในช่องเดินรถจำเลยเชื่อว่าเมื่อจำเลยขับรถยนต์กระบะลงเนินแล้ว จำเลยเห็นรถจักรยานยนต์เลี้ยวกลับในช่องเดินรถจำเลยในระยะกระชั้นชิดจึงไม่สามารถบังคับรถยนต์กระบะให้หยุดได้ทันท่วงที การที่รถยนต์กระบะเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์จึงมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยพยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้นฎีกาจำเลยฟังขึ้น"
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300
ผู้พิพากษา
วิรัช ลิ้มวิชัย
ทองหล่อ โฉมงาม
จิระวรรณ ศิริบุตร


