แชร์

ความเศร้าโศกเสียใจและผิดหวัง เรียกค่าสินไหมทดแทนไม่ได้

อัพเดทล่าสุด: 26 พ.ย. 2025
6 ผู้เข้าชม

ความเศร้าโศกเสียใจและผิดหวัง เรียกค่าสินไหมทดแทนไม่ได้

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 477/2514

 

คำพิพากษาย่อสั้น

    กรณีละเมิดที่เป็นเหตุให้เศร้าโศกเสียใจและผิดหวังประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มิได้บัญญัติไว้ให้เรียกค่าสินไหมทดแทนได้ แม้จะเป็นบิดาตามกฎหมายหรือไม่ก็ตาม(อ้างฎีกาที่ 789/2512)
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1535 บุตรนั้นหมายถึงบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ซึ่งมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา
    เมื่อปรากฏว่าโจทก์และโจทก์ร่วมจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่12 พฤศจิกายน 2508 การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายจึงมีผลตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2508 หาใช่มีผลตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2507 ซึ่งเป็นวันฟ้องคดีไม่ ฉะนั้น ในขณะฟ้องผู้ตายจึงยังเป็นบุตรนอกสมรสของโจทก์อยู่ โจทก์ซึ่งเป็นบิดาจึงไม่มีสิทธิฟ้องบุคคลที่กระทำละเมิดต่อบุตรนอกสมรสของตน(อ้างฎีกาที่ 1285/2508)
    โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะเป็นทายาทผู้รับมรดกจากเด็กชาย ธ. ผู้ตายแต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์มิใช่บิดาโดยชอยด้วยกฎหมายของผู้ตายแล้วอำนาจฟ้องของโจทก์ก็ไม่มีคำร้องของ ค. มารดาของเด็กชาย ธ. ที่ขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม จึงเป็นอันตกไป (ปัญหาข้อนี้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2514)
ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับค่าปลงศพตามมาตรา 443 วรรค 1หมายความเฉพาะผู้ที่เป็นทายาทของผู้ตายที่จะเรียกร้องเอาแก่ผู้ที่กระทำละเมิด ทำให้เจ้ามรดกถึงแก่ความตายเพราะสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยเหตุที่ได้ละเมิดแก่เจ้ามรดกตกทอดมายังตนผู้เป็นทายาทภายใต้บังคับของมาตรา 1649 เท่านั้นมิได้หมายความว่าใครทำศพผู้ตายแล้วก็จะมีสิทธิเรียกร้องค่าทำศพในลักษณะที่เป็นค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดเสียเองได้เสมอไปเมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่ใช่ทายาทผู้ตายเพราะไม่ได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการปลงศพเป็นค่าสินไหมทดแทนแก่ตนในการที่จำเลยกระทำละเมิดต่อผู้ตาย (อ้างฎีกาที่ 1314/2505)
 
    โจทก์ร่วมแม้จะเป็นมารดาของผู้ตาย แต่เมื่อฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์มาแต่ต้นสิทธิโจทก์ร่วมก็ไม่ดีกว่าโจทก์ โจทก์และโจทก์ร่วมจึงไม่อาจเรียกค่าใช้จ่ายในการทำศพผู้ตายได้
 
     สำหรับจำเลยที่ 1 ลูกจ้าง ซึ่งแม้มิได้ฎีกาก็ตาม แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ว่าเป็นนายจ้างซึ่งต้องร่วมกันรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 1 กรณีจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ฉะนั้น อาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) และมาตรา 247 ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยตลอดถึงจำเลยที่ 1 ด้วย
 
คำพิพากษาย่อยาว
   โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ขับรถโดยสารด้วยความประมาท รถทับเด็กชายธนะบุตรโจทก์ถึงแก่กรรม อันเป็นการทำละเมิดในทางการที่จ้าง ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 64,572 บาท พร้อมดอกเบี้ย

   จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ

   จำเลยที่ 2 ให้การสู้คดีในระหว่างสืบพยานจำเลยที่ 2 นางเครือวัลย์ยื่นคำร้องลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2508 ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมอ้างว่าเป็นมารดาของเด็กชายธนะผู้ตาย ได้จดทะเบียนสมรสกับโจทก์เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2508 ภายหลังที่เด็กชายธนะถึงแก่กรรม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต

   ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายรวม 34,572 บาทพร้อมดอกเบี้ย

   จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

   ศาลชั้นต้นพิพากษาแก้เป็นให้จำเลยที่ 2 ร่วมใช้ค่าปลงศพให้โจทก์และโจทก์ร่วมเป็นเงิน 14,572 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย

   โจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยที่ 2 ต่างฎีกา

   ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีละเมิดที่เป็นเหตุให้เศร้าโศรกเสียใจและผิดหวังนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มิได้บัญญัติไว้ให้เรียกค่าสินไหมทดแทนได้ แม้จะเป็นบิดาตามกฎหมายก็ตาม ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 789/2502 แม้จะเป็นบิดาตามกฎหมายก็ไม่อาจเรียกค่าเศร้าโศรกเสียใจได้อยู่แล้ว โจทก์ในคดีนี้ซึ่งไม่ได้เป็นบิดาตามกฎหมายจึงไม่มีทางจะเรียกค่าเศร้าโศรกเสียใจได้เลย

   ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ควรได้รับการอุปการะทดแทนจากผู้ตายเพราะโจทก์อุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาตลอดมานั้น ศาลฎีกาเห็นว่าบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1535 หมายถึงบุตรชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ซึ่งมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาเมื่อโจทก์เป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากผู้ตาย ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1530 การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายมีผล (1) ถ้าบิดามารดาสมรสกันภายหลัง ให้มีผลนับแต่วันสมรส เมื่อปรากฏว่าโจทก์และโจทก์ร่วมจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2508 การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของเด็กชายธนะ ศรคุปต์ จึงมีผลตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2508 หาใช่มีผลตั้งแต่วันฟ้องคดีนี้คือ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2507 ไม่ ฉะนั้น ในขณะฟ้องผู้ตายจึงยังเป็นบุตรนอกสมรสของโจทก์อยู่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบุคคลที่กระทำละเมิดต่อบุตรนอกสมรสของตน ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1285/2508

   ส่วนข้อที่โจทก์อ้างว่า คดีนี้นางเครือวัลย์มารดาผู้ตายได้ร้องขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมกับโจทก์ซึ่งศาลก็อนุญาตแล้ว โจทก์ร่วมย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้นั้น ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะเป็นทายาทผู้รับมรดกจากเด็กชายธนะผู้ตาย ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าเมื่อฟ้องเดิมโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเสียแล้ว คำร้องขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมของผู้ร้องจึงเป็นอันตกไป

   สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 2 ศาลฎีกาเห็นว่า ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับค่าปลงศพตามมาตรา 443 วรรค 1 หมายความเฉพาะผู้ที่เป็นทายาทของผู้ตายที่จะเรียกร้องเอาแก่ผู้ที่กระทำละเมิดทำให้เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย เพราะสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยเหตุที่ได้ละเมิดแก่เจ้ามรดกตกทอดมายังตนผู้เป็นทายาทภายใต้บังคับของมาตรา 1649 เท่านั้น มิได้หมายความว่าใครทำศพผู้ตายแล้วก็จะมีสิทธิเรียกร้องค่าทำศพในลักษณะที่เป็นค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดเสียเองได้เสมอไป เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่ใช่ทายาทผู้ตายเพราะไม่ได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการปลงศพเป็นค่าสินไหมทดแทนแก่ตน ในการที่จำเลยกระทำละเมิดต่อผู้ตายตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1314/2505 สำหรับโจทก์ร่วมนั้นแม้จะเป็นมารดาของผู้ตายแต่เมื่อฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์มาแต่ต้น สิทธิโจทก์ร่วมก็ไม่ดีไปกว่าโจทก์ โจทก์และโจทก์ร่วมจึงไม่อาจเรียกค่าใช้จ่ายในการทำศพผู้ตายได้

   สำหรับจำเลยที่ 1 ลูกจ้างซึ่งแม้มิได้ฎีกาก็ตาม แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ว่าเป็นนายจ้าง ซึ่งต้องร่วมกันรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 1 กรณีจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ฉะนั้น อาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 (1) และ มาตรา 247 ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยตลอดถึงจำเลยที่ 1 ด้วย

   พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์

 

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1530
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1535
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1649
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247

ผู้พิพากษา
ประพนธ์ ศาตะมาน
ทองคำ จารุเหติ
ชวน พูนคำ

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

 

สามารถรับชมเพิ่มเติมได้ที่ 

Youtube   https://youtu.be/fllc2v5pfvo?si=rF1muiLfUYHXvLRF

TikTok                 :https://www.tiktok.com/@lawyeraor/video/7447459698627874056?is_from_webapp=1&sender_device=pc&web_id=7539731687648364033

 

ติดต่อทีมงานทนายอ้อได้ที่ ⬇️

Facebook        :https://www.facebook.com/share/1Bb1gYBdZc/?mibextid=wwXIfr

Tiktok               :https://www.tiktok.com/@lawyeraor

 Line                  :https://line.me/ti/p/NBw5dNkeFt

 เบอร์โทรศัพท์   : 081-755-5585 , 065-701-1441

 Website           :https://www.lawyer-aor.com/



 
#ฟ้องคดีรถชนกับทนายอ้อ
#ฟ้องคดีอุบัติเหตุกับทนายอ้อ
#ฟ้องคดีประกันภัยกับทนายอ้อ
#ทนายความคดีรถชน
#ทนายความคดีอุบัติเหตุ
#ฟ้องคดีรถชน
#ทนายความ
#ทนายอ้อ
#ฟ้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
#ฟ้องคดีละเมิด
#ปรึกษาทนายความคดีรถชนฟรี


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ