แชร์

หากรถที่หากจำเลยขับไม่เสียหลักมาขวางถนนในช่องทางเดินรถของผู้ตายในระยะกระชั้นชิดเหตุเฉี่ยวชนคงจะไม่เกิดขึ้น

อัพเดทล่าสุด: 12 ธ.ค. 2025
334 ผู้เข้าชม

หากรถที่จำเลยขับไม่เสียหลักมาขวางถนนในช่องทางเดินรถของผู้ตายในระยะกระชั้นชิด เหตุเฉี่ยวชนคงจะไม่เกิดขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 386/2544

คำพิพากษาย่อสั้น
 แม้ขณะก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายขับรถด้วยความเร็ว 70-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ตาม หากรถที่จำเลยขับไม่เสียหลักมาขวางถนนในช่องทางเดินรถของผู้ตายในระยะกระชั้นชิด เหตุเฉี่ยวชนคงจะไม่เกิดขึ้นดังปรากฏตามแผนที่เกิดเหตุ แสดงให้เห็นว่าผู้ตายขับรถด้วยความระมัดระวังอย่างดีแล้วและได้พยายามหักหลบไปทางซ้าย แต่ไม่สามารถหลบได้พ้นรถเทรลเลอร์ที่จำเลยขับ พร้อมส่วนพ่วงมีความยาวทั้งหมด 11 ถึง 12 เมตร มีน้ำหนักมาก ทั้งสภาพเป็นทางขึ้นเนิน หากจำเลยขับรถด้วยความเร็วประมาณ 30 ถึง 40กิโลเมตรต่อชั่วโมงอาจจะไม่สามารถขึ้นเนินได้ เชื่อได้ว่าจำเลยขับรถมาด้วยความเร็วสูง เมื่อห้ามล้อกะทันหันจึงเสียหลักขวางถนนเข้าไปในช่องทางเดินรถของผู้ตาย เหตุที่รถยนต์ทั้งสองคันเฉี่ยวชนกันเกิดจากความประมาทของจำเลยแต่เพียงฝ่ายเดียว ผู้ตายมิได้มีส่วนร่วมประมาทด้วย

คำพิพากษาย่อยาว
 โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภท บริษัท จำกัด โจทก์รับประกันภัยรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน พ-4659 สงขลา จากนายเจริญ บิลล่าเต๊ะ มีอายุสัญญา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2536 ถึง 1 ตุลาคม 2537 และโจทก์ยังรับประกันภัยรถคันดังกล่าวตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และเป็นผู้ขับรถยนต์เทรลเลอร์ หมายเลขทะเบียน 1 ล-0301 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลสังกัดกระทรวงคมนาคม และเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์เทรลเลอร์และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 โจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิจากผู้เสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 302,730.00 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

 จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
 จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง

 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 283,980.00 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

 จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

 จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการแรกว่า เหตุที่รถยนต์ทั้งสองคันเฉี่ยวชนกัน นายอารีตผู้ตายมีส่วนร่วมประมาทด้วยหรือไม่ โดยจำเลยที่ 2 ฎีกาว่าเหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ตายขับรถมาด้วยความเร็วสูง ไม่ใช้ความเร็วให้สมควรกับสภาพแวดล้อมในขณะนั้น ซึ่งมีสภาพเป็นทางขึ้นเนินและมีฝนตกถนนลื่น จึงหยุดรถไม่ทันเป็นเหตุให้รถเฉี่ยวชนกัน ซึ่งผู้ตายมีส่วนประมาทเลินเล่อด้วย เห็นว่า ตามแผนที่เกิดเหตุในสำนวนการสอบสวนเอกสารหมาย จ.7 รถยนต์ทั้งสองคันจอดอยู่ขอบไหล่ทางของช่องทางเดินรถที่วิ่งสวนทางกับรถที่จำเลยที่ 1 ขับ ซึ่งมีความกว้างประมาณ 3 เมตร แม้ในสภาพแวดล้อมขณะนั้นผู้ตายจะขับรถด้วยความเร็ว 70-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ตาม หากรถที่จำเลยที่ 1 ขับไม่เสียหลักมาขวางถนนในช่องทางเดินรถของผู้ตายในระยะกระชั้นชิด เหตุเฉี่ยวชนคงจะไม่เกิดขึ้นดังปรากฏตามแผนที่เกิดเหตุดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าผู้ตายขับรถด้วยความระมัดระวังอย่างดีแล้วและได้พยายามหักหลบไปทางซ้าย แต่ไม่สามารถหลบได้พ้นรถเทรลเลอร์ที่จำเลยที่ 1 ขับ พร้อมส่วนพ่วงมีความยาวทั้งหมด 11 ถึง 12 เมตร มีน้ำหนักมาก ทั้งสภาพเป็นทางขึ้นเนิน หากจำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วประมาณ 30 ถึง 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อาจจะไม่สามารถขึ้นเนินได้ เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถมาด้วยความเร็วสูง เมื่อห้ามล้อกะทันหันจึงเสียหลักขวางถนนเข้าไปในช่องทางเดินรถของผู้ตาย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเหตุที่รถยนต์ทั้งสองคันเฉี่ยวชนกันเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่เพียงฝ่ายเดียว ผู้ตายมิได้มีส่วนร่วมประมาทด้วยตามที่จำเลยที่ 2 ฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการสุดท้ายมีว่าค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดมีเพียงใด ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วย การพิจารณาค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยต้องร่วมกันรับผิดต้องลดลงตามส่วนแห่งความประมาทของผู้ตายนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่วินิจฉัยมา ความเสียหายที่เกิดขึ้นเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่เพียงฝ่ายเดียว โดยผู้ตายมิได้ประมาทร่วมด้วย จึงไม่ทำให้ค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดต้องลดลงตามส่วนเฉลี่ยของความประมาทของผู้ตายตามที่จำเลยที่ 2 ฎีกาแต่ประการใด ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ได้ให้การต่อสู้ไว้แล้วว่าค่าซ่อมแซมและค่าอะไหล่ในการซ่อมรถยนต์ดังกล่าวมีราคาอย่างสูงไม่เกิน 100,000.00 บาท นั้น เห็นว่า รถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน พ-4659 สงขลา ภายหลังเกิดเหตุมีสภาพเสียหายอย่างมากตามภาพถ่ายหมาย จ.5 และ จ.19 ซึ่งตามใบเสนอราคาค่าซ่อมตามเอกสารหมาย จ.6 เป็นเงินจำนวน 269,298.00 บาท ทั้งการที่จำเลยที่ 2 ให้การไว้ดังกล่าว จำเลยที่ 2 ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าค่าซ่อมรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาตามที่ให้การไว้แต่อย่างใด การที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายในส่วนที่ให้ 200,000.00 บาท จึงเป็นค่าเสียหายที่สมควรแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นอย่างอื่น ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น"

 พิพากษายืน


กฎหมายที่เกี่ยวข้อง :
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104

ผู้พิพากษา :
ชวลิต ตุลยสิงห์
ระพินทร บรรจงศิลป
สมชาย จุลนิติ์

 

ติดต่อทีมงานทนายอ้อได้ที่ ⬇️

Facebook        :https://www.facebook.com/share/1Bb1gYBdZc/?mibextid=wwXIfr

Tiktok               :https://www.tiktok.com/@lawyeraor

 Line                  :https://line.me/ti/p/NBw5dNkeFt

 เบอร์โทรศัพท์   : 081-755-5585 , 065-701-1441

 Website           :https://www.lawyer-aor.com/


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ