ขับรถบรรทุกมาด้วยความเร็วมาก มีฝนตกและเป็นทางโค้งถือว่าประมาท

ขับรถยนต์บรรทุกมาด้วยความเร็วมาก มีฝนตกและเป็นทางโค้งถือว่าประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1562/2539
คำพิพากษาย่อสั้น
ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ.2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522 ข้อ 2 (1) (ก) กำหนดให้รถยนต์ต้องมีโคมไฟแสงพุ่งไกล หน้ารถมีแสงสว่างให้เห็นพื้นทางได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า 100 เมตร และตามกฎกระทรวงฉบับที่ 6 (พ.ศ.2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ข้อ 1 (1) กำหนดให้รถยนต์บรรทุกที่มีน้ำหนักรถรวมทั้งน้ำหนักบรรทุกเกิน 1,200 กิโลกรัม ใช้ความเร็วนอกเขตกรุงเทพมหานครเขตเมืองพัทยา หรือเขตเทศบาลไม่เกินชั่วโมงละ 80 กิโลเมตร รถยนต์บรรทุกที่จำเลยขับรถบรรทุกมันอัดเม็ดรวมน้ำหนักของมันอัดเม็ดและน้ำหนักรถเกิน 1,200 กิโลกรัม จำเลยจึงต้องขับรถยนต์บรรทุกด้วยความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 80 กิโลเมตร และถ้าโคมไฟแสงพุ่งไกลของรถยนต์บรรทุกที่จำเลยขับมีแสงสว่างเห็นพื้นทางได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า 100 เมตร จำเลยจะต้องมองเห็นรถยนต์โดยสารจอดอยู่ในระยะไม่น้อยกว่า 100 เมตร เมื่อจำเลยเห็นรถยนต์โดยสารจอดอยู่ ในขณะเดียวกันมีรถยนต์บรรทุกแล่นสวนมาซึ่งจำเลยไม่อาจจะหักหลบรถยนต์โดยสารได้จำเลยก็ต้องเหยียบห้ามล้อ ถ้าจำเลยขับรถยนต์บรรทุกมาด้วยความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 80 กิโลเมตร รถยนต์บรรทุกก็ย่อมจะหยุดได้โดยไม่เฉี่ยวชนรถยนต์โดยสาร การที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกมาด้วยความเร็วมาก มีฝนตกและเป็นทางโค้ง ซึ่งโดยวิสัยของผู้ขับรถจะต้องชะลอความเร็วของรถลงกว่าปกติ แต่จำเลยที่ 1 หาได้ชะลอความเร็วของรถยนต์บรรทุกไม่ เป็นการไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในภาวะเช่นนั้น จำเลยที่ 1 จึงมีส่วนประมาทเลินเล่อด้วย ที่จำเลยทั้งสองฎีกาในเรื่องค่าเสียหายว่ารถยนต์โดยสารของโจทก์ไม่ได้ซ่อม โจทก์ตีราคาเองสูงเกินไป ตามสภาพรถยนต์โดยสารสามารถซ่อมได้ในราคา 90,000.00 บาท นั้นฎีกาของจำเลยทั้งสองดังกล่าวไม่ได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าไม่ถูกต้องอย่างไรและที่ถูกควรจะเป็นอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2533 เวลากลางคืน จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-4655 นครราชสีมา ของจำเลยที่ 2 ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยความประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวัง กล่าวคือจำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วสูงในขณะฝนตกเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10-2222 อุดรธานี ของโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 124,400.00 บาท นอกจากนี้โจทก์ยังขาดประโยชน์ที่อาจนำรถยนต์โดยสารไปให้บุคคลภายนอกเช่าได้ในอัตราเดือนละ 35,000.00 บาท เป็นเวลา 3 เดือน คิดเป็นเงิน 105,000.00 บาท และค่าเสื่อมราคาอีก 100,000.00 บาท รวมค่าเสียหาย 329,400.00 บาท โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวและค่าขาดประโยชน์จากค่าเช่าอีกเดือนละ 35,000.00 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์จะสามารถนำรถยนต์โดยสารไปให้บุคคลอื่นเช่าได้
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10-2222 อุดรธานี วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-4655 นครราชสีมา ไปด้วยความเร็วปกติและระมัดระวัง ขณะเกิดเหตุฝนหยุดตกแล้ว จำเลยที่ 1 เห็นรถยนต์โดยสารของโจทก์จอดเสียอยู่บนถนน ล้อขึ้นมาบนผิวจราจรเกือบถึงเส้นแบ่งถนน ไม่มีสัญญาณไฟหรือเครื่องหมายอื่นที่แสดงว่ามีรถจอดอยู่ จำเลยที่ 1 เห็นในระยะกระชั้นชิด ได้หักรถออกมาทางขวา แต่มีรถยนต์บรรทุกแล่นสวนมา จำเลยที่ 1 จึงหลบมาทางซ้ายแล้วเฉี่ยวชนเข้ากับรถยนต์โดยสารของโจทก์ทางด้านขวา จำเลยที่ 1 ไม่ได้ประมาทเลินเล่อ โจทก์เสียค่าซ่อมรถยนต์โดยสารไม่เกิน 30,000.00 บาท การซ่อมไม่ทำให้รถยนต์โดยสารเสื่อมราคาและโจทก์อ้างค่าขาดประโยชน์อย่างเลื่อนลอย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์เป็นจำนวนเงิน 40,000.00 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า เหตุที่รถยนต์บรรทุกซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับเฉี่ยวชนรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10-2222 อุดรธานี เพราะรถยนต์โดยสารจอดอยู่บนผิวจราจรอยู่ในที่มืดและไม่แสดงเครื่องหมายหรือสัญญาณตามกฎกระทรวงฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2525) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกมาด้วยความเร็วต่ำ เมื่อเห็นรถยนต์โดยสารจอดอยู่ในระยะใกล้และมีรถยนต์บรรทุกแล่นสวนมา จำเลยที่ 1 ไม่อาจจะหักหลบรถยนต์โดยสารได้ จึงเฉี่ยวชนรถยนต์โดยสาร จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อนั้น เห็นว่า ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ข้อ 2 (1)(ก) กำหนดให้รถยนต์ต้องมีโคมไฟแสงพุ่งไกลหน้ารถมีแสงสว่างให้เห็นพื้นทางได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า 100 เมตร และตามกฎกระทรวงฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ข้อ 1(1) กำหนดให้รถยนต์บรรทุกที่มีน้ำหนักรถรวมทั้งน้ำหนักบรรทุกเกิน 1,200 กิโลกรัม ใช้ความเร็วนอกเขตกรุงเทพมหานครเขตเมืองพัทยาหรือเขตเทศบาลไม่เกินชั่วโมงละ 80 กิโลเมตร ได้ความว่ารถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 1 ขับบรรทุกมันอัดเม็ดมาเต็มคันเชื่อได้ว่าเมื่อรวมน้ำหนักของมันอัดเม็ดและน้ำหนักรถจะต้องมีน้ำหนักเกิน 1,200 กิโลกรัม จำเลยที่ 1 จึงต้องขับรถยนต์บรรทุกด้วยความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 80 กิโลเมตรและถ้าโคมไฟแสงพุ่งไกลของรถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 1 ขับมีแสงสว่างเห็นพื้นทางได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า 100 เมตร จำเลยที่ 1 จะต้องมองเห็นรถยนต์โดยสารจอดอยู่ในระยะไม่น้อยกว่า 100 เมตร เมื่อจำเลยที่ 1 เห็นรถยนต์โดยสารจอดอยู่ ในขณะเดียวกันมีรถยนต์บรรทุกแล่นสวนมาซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่อาจจะหักหลบรถยนต์โดยสารได้ จำเลยที่ 1 ก็ต้องเหยียบห้ามล้อซึ่งถ้าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกมาด้วยความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ 80 กิโลเมตร รถยนต์บรรทุกก็ย่อมจะหยุดได้โดยไม่เฉี่ยวชนรถยนต์โดยสาร การที่รถยนต์บรรทุกไปเฉี่ยวชนรถยนต์โดยสารซึ่งตามภาพถ่ายหมาย จ.4 และ จ.5 แสดงว่ารถยนต์โดยสารถูกเฉี่ยวชนแรงมาก ย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกมาด้วยความเร็วมาก ทั้งได้ความว่าขณะเกิดเหตุมีฝนตกและที่เกิดเหตุเป็นทางโค้ง ซึ่งโดยวิสัยของผู้ขับรถจะต้องชะลอความเร็วของรถลงกว่าปกติ ตามรูปคดีน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 หาได้ชะลอความเร็วของรถยนต์บรรทุกไม่ เป็นการไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในภาวะเช่นนั้น ศาลฎีกาจึงเห็นว่าเหตุที่เกิดขึ้นจำเลยที่ 1 มีส่วนประมาทเลินเล่อด้วย
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาในเรื่องค่าเสียหายว่า รถยนต์โดยสารของโจทก์ไม่ได้ซ่อม โจทก์ตีราคาเองสูงเกินไป ตามสภาพรถยนต์โดยสารสามารถซ่อมได้ในราคา 90,000.00 บาท นั้น ฎีกาของจำเลยทั้งสองดังกล่าวไม่ได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าไม่ถูกต้องอย่างไรและที่ถูกควรจะเป็นอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง :
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ผู้พิพากษา :
ชูชาติ ศรีแสง
จิระ บุญพจนสุนทร
วินัย วิมลเศรษฐ
ติดต่อทีมงานทนายอ้อได้ที่ ⬇️
Facebook :https://www.facebook.com/share/1Bb1gYBdZc/?mibextid=wwXIfr
Tiktok :https://www.tiktok.com/@lawyeraor
Line :https://line.me/ti/p/NBw5dNkeFt
เบอร์โทรศัพท์ : 081-755-5585 , 065-701-1441
Website :https://www.lawyer-aor.com/


