ถ้าผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิด ผู้รับประกันภัยค้ำจุนก็ไม่ต้องรับผิด5
อัพเดทล่าสุด: 5 มิ.ย. 2024
144 ผู้เข้าชม
ถ้าผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิด ผู้รับประกันภัยค้ำจุนก็ไม่ต้องรับผิด5
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1564/2538
คำพิพากษาย่อสั้น
สัญญาประกันภัยค้ำจุนคือสัญญาซึ่งผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดในความวินาศภัยที่เกิดขึ้นต่อบุคคลภายนอกต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบเมื่อโจทก์ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยและไม่ปรากฏว่าโจทก์มีนิติสัมพันธ์อันใดกับผู้เอาประกันภัยในอันที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดในการกระทำละเมิดของโจทก์ต่อบุคคลภายนอกโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยชดใช้เงินที่โจทก์จ่ายเป็นค่าเสียหายให้แก่บุคคลภายนอกคืนได้
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1ช-3645 กรุงเทพมหานคร ของนางสาวนลินี พงศ์ศิริพัฒน์ เพื่อคุ้มครองความเสียหายของรถยนต์และความรับผิดของผู้ขับขี่ต่อบุคคลภายนอก โจทก์ได้ขับรถยนต์ของนางสาวนลินี คันที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยโดย ความยินยอมของนางสาวนลินี ด้วยความประมาทของโจทก์เองเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนนายสมศักดิ์ จันทร์เต็ม ซึ่งกำลังเดินข้ามถนนจนกระโหลกศีรษะแตกร้าว ได้รับอันตรายสาหัส พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส โจทก์ให้การรับสารภาพ และได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายสมศักดิ์ ผู้เสียหายแล้วเป็น เงิน 80,000 บาท โดยที่โจทก์ได้ขับรถยนต์ของนางสาวนลินี คันที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลย ดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยชดใช้เงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ นายสมศักดิ์ไป ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 80,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญากับจำเลย เงิน 80,000 บาทที่ โจทก์จ่ายไปไม่ใช่ค่าเสียหายที่อยู่ในเงื่อนไขตามสัญญาประกันภัยโจทก์ขับรถยนต์โดยไม่ได้รับ ความยินยอมจากนางสาวนลินี และไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 80,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ว่าโจทก์ มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์หรือไม่ ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมาว่า นางสาว นลินี พงศ์ศิริพัฒน์ เป็น เจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1ช-3645 กรุงเทพมหานคร และได้เอาประกันภัยไว้กับ จำเลย ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ. 2 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2531 โจทก์ได้ขับ รถยนต์คันดังกล่าว โดยความยินยอมของนางสาว นลินี ด้วย ความประมาท เฉี่ยวชนนาย สมศักดิ์ จันทร์เต็ม จนได้รับอันตรายสาหัส กระโหลกศีรษะแตกร้าว และ เมื่อ วันที่ 30 ธันวาคม 2531 โจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายสมศักดิ์เป็นเงิน 80,000 บาท ขณะเกิดเหตุอยู่ในอายุ สัญญาประกันภัยและใบอนุญาตขับรถยนต์ของโจทก์หมดอายุแต่โจทก์มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังไม่หมดอายุตามเอกสารหมาย จ. 5 โจทก์ฎีกา ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ. 2 ข้อ 2.8 ซึ่งคุ้มครองผู้ขับขี่เสมือนหนึ่งว่าโจทก์เป็นผู้เอาประกันภัยเอง โจทก์ได้เรียกให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนให้ แก่ผู้เสียหายแล้ว แต่จำเลยปฏิเสธ โจทก์จึงชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายไป จำเลยในฐานะ ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงต้องรับผิดชดใช้เงินคืนให้โจทก์ พิจารณากรมธรรม์ประกันภัยเอกสาร หมาย จ. 2 แล้ว มีลักษณะเป็นสัญญาประกันภัยค้ำจุน ซึ่งตามมาตรา 887 วรรคแรก แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า "อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น คือสัญญาประกันภัย ซึ่งผู้รับประกันภัย ตกลงว่าจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย เพื่อความ วินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่งและผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ" ซึ่งตาม บทบัญญัติดังกล่าวผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดในความวินาศภัยที่เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบแต่คดีของโจทก์นี้ เป็นกรณีที่โจทก์เป็นผู้กระทำละเมิดแต่ผู้เดียวและ โจทก์ก็ไม่ใช่เป็นผู้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ. 2 หมวด 2 การคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ข้อ 2.8 มี ข้อความว่า "การคุ้มครองผู้ขับขี่บริษัท จะถือว่าบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัย เสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง" นั้น หมายความว่านอกจากผู้รับประกันภัยจะรับผิดในกรณีที่ผู้เอาประกันภัย มิได้เป็นผู้กระทำละเมิด แต่ผู้อื่นเป็นผู้กระทำละเมิดโดยผู้นั้นได้ขับรถยนต์คันที่เอาประกันภัย ไว้ โดยความยินยอมของผู้เอาประกันภัยเท่านั้น หาได้หมายความถึงว่าให้สิทธิแก่โจทก์เข้าสวม สิทธิของผู้เอาประกันภัยไม่ เมื่อโจทก์ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย และข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่า โจทก์มีนิติสัมพันธ์อันใดกับผู้เอาประกันภัย ในอันที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดในการทำละเมิดของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลย ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินที่โจทก์ จ่ายเป็นค่าเสียหายให้แก่นายสมศักดิ์ ผู้เสียหายคืนได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
ผู้พิพากษา
สมชัย สายเชื้อ
นิเวศน์ คำผอง
สวรรค์ ศักดารักษ์
แหล่งที่มา: สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1564/2538
คำพิพากษาย่อสั้น
สัญญาประกันภัยค้ำจุนคือสัญญาซึ่งผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดในความวินาศภัยที่เกิดขึ้นต่อบุคคลภายนอกต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบเมื่อโจทก์ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยและไม่ปรากฏว่าโจทก์มีนิติสัมพันธ์อันใดกับผู้เอาประกันภัยในอันที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดในการกระทำละเมิดของโจทก์ต่อบุคคลภายนอกโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยชดใช้เงินที่โจทก์จ่ายเป็นค่าเสียหายให้แก่บุคคลภายนอกคืนได้
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1ช-3645 กรุงเทพมหานคร ของนางสาวนลินี พงศ์ศิริพัฒน์ เพื่อคุ้มครองความเสียหายของรถยนต์และความรับผิดของผู้ขับขี่ต่อบุคคลภายนอก โจทก์ได้ขับรถยนต์ของนางสาวนลินี คันที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยโดย ความยินยอมของนางสาวนลินี ด้วยความประมาทของโจทก์เองเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนนายสมศักดิ์ จันทร์เต็ม ซึ่งกำลังเดินข้ามถนนจนกระโหลกศีรษะแตกร้าว ได้รับอันตรายสาหัส พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส โจทก์ให้การรับสารภาพ และได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายสมศักดิ์ ผู้เสียหายแล้วเป็น เงิน 80,000 บาท โดยที่โจทก์ได้ขับรถยนต์ของนางสาวนลินี คันที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลย ดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยชดใช้เงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ นายสมศักดิ์ไป ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 80,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญากับจำเลย เงิน 80,000 บาทที่ โจทก์จ่ายไปไม่ใช่ค่าเสียหายที่อยู่ในเงื่อนไขตามสัญญาประกันภัยโจทก์ขับรถยนต์โดยไม่ได้รับ ความยินยอมจากนางสาวนลินี และไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 80,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ว่าโจทก์ มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์หรือไม่ ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมาว่า นางสาว นลินี พงศ์ศิริพัฒน์ เป็น เจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1ช-3645 กรุงเทพมหานคร และได้เอาประกันภัยไว้กับ จำเลย ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ. 2 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2531 โจทก์ได้ขับ รถยนต์คันดังกล่าว โดยความยินยอมของนางสาว นลินี ด้วย ความประมาท เฉี่ยวชนนาย สมศักดิ์ จันทร์เต็ม จนได้รับอันตรายสาหัส กระโหลกศีรษะแตกร้าว และ เมื่อ วันที่ 30 ธันวาคม 2531 โจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายสมศักดิ์เป็นเงิน 80,000 บาท ขณะเกิดเหตุอยู่ในอายุ สัญญาประกันภัยและใบอนุญาตขับรถยนต์ของโจทก์หมดอายุแต่โจทก์มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังไม่หมดอายุตามเอกสารหมาย จ. 5 โจทก์ฎีกา ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ. 2 ข้อ 2.8 ซึ่งคุ้มครองผู้ขับขี่เสมือนหนึ่งว่าโจทก์เป็นผู้เอาประกันภัยเอง โจทก์ได้เรียกให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนให้ แก่ผู้เสียหายแล้ว แต่จำเลยปฏิเสธ โจทก์จึงชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายไป จำเลยในฐานะ ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงต้องรับผิดชดใช้เงินคืนให้โจทก์ พิจารณากรมธรรม์ประกันภัยเอกสาร หมาย จ. 2 แล้ว มีลักษณะเป็นสัญญาประกันภัยค้ำจุน ซึ่งตามมาตรา 887 วรรคแรก แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า "อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น คือสัญญาประกันภัย ซึ่งผู้รับประกันภัย ตกลงว่าจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย เพื่อความ วินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่งและผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ" ซึ่งตาม บทบัญญัติดังกล่าวผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดในความวินาศภัยที่เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบแต่คดีของโจทก์นี้ เป็นกรณีที่โจทก์เป็นผู้กระทำละเมิดแต่ผู้เดียวและ โจทก์ก็ไม่ใช่เป็นผู้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ. 2 หมวด 2 การคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ข้อ 2.8 มี ข้อความว่า "การคุ้มครองผู้ขับขี่บริษัท จะถือว่าบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัย เสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง" นั้น หมายความว่านอกจากผู้รับประกันภัยจะรับผิดในกรณีที่ผู้เอาประกันภัย มิได้เป็นผู้กระทำละเมิด แต่ผู้อื่นเป็นผู้กระทำละเมิดโดยผู้นั้นได้ขับรถยนต์คันที่เอาประกันภัย ไว้ โดยความยินยอมของผู้เอาประกันภัยเท่านั้น หาได้หมายความถึงว่าให้สิทธิแก่โจทก์เข้าสวม สิทธิของผู้เอาประกันภัยไม่ เมื่อโจทก์ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย และข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่า โจทก์มีนิติสัมพันธ์อันใดกับผู้เอาประกันภัย ในอันที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดในการทำละเมิดของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลย ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินที่โจทก์ จ่ายเป็นค่าเสียหายให้แก่นายสมศักดิ์ ผู้เสียหายคืนได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
ผู้พิพากษา
สมชัย สายเชื้อ
นิเวศน์ คำผอง
สวรรค์ ศักดารักษ์
แหล่งที่มา: สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
บทความที่เกี่ยวข้อง