ผู้เอาประกันภัยไม่มีส่วนได้เลยในเหตุที่เอาประกันภัยสัญญาไม่ผูกพันคู่สัญญา
อัพเดทล่าสุด: 5 มิ.ย. 2024
247 ผู้เข้าชม
ผู้เอาประกันภัยไม่มีส่วนได้เลยในเหตุที่เอาประกันภัย สัญญาไม่ผูกพันคู่สัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 864/2538
คำพิพากษาย่อสั้น
จ. ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ หลังจากทำสัญญาประกันภัยถือได้ว่า จ. ผู้เอาประกันภัยยังมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ขณะที่โจทก์รับประกันภัย ดังนั้นสัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์และ จ. จึงไม่ผูกพันคู่สัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 863 แม้โจทก์จะได้ชดใช้ค่าเสียหายแทน จ. ก็ไม่ได้รับช่วงสิทธิตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ในมูลละเมิดอันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่1 ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 245 (1) ประกอบด้วยมาตรา 247
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองและเป็นผู้ขับรถยนต์เก๋งหมายเลขทะเบียน 9จ-6386 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถคันดังกล่าว จำเลยที่ 1 ขับรถดังกล่าวด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังชนรถยนต์เก๋งหมายเลขทะเบียน 2ฉ-7893 กรุงเทพมหานคร ที่โจทก์รับประกันภัยไว้และโจทก์ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้ว จึงเข้ารับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 29,478.00 บาทดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2532 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,105.00 บาท รวมเป็นเงิน 30,583.00 บาท และให้ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่าโจทก์ไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2ฉ-7893 กรุงเทพมหานคร และผู้เอาประกันภัยมิใช่ผู้มีส่วนได้เสีย ดังนั้นแม้โจทก์จะได้ชำระค่าซ่อมรถไป ก็ไม่มีอำนาจรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัย เหตุคดีนี้เกิดจากผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2ฉ-7893 กรุงเทพมหานคร ได้ขับรถคันดังกล่าวออกจากซอยตัดหน้ารถยนต์หมายเลขทะเบียน 9จ-6386 กรุงเทพมหานคร ในระยะกระชั้นชิด รถยนต์หมายเลขทะเบียน 2ฉ-7893 กรุงเทพมหานคร เสียหายไม่เกิน 5,000.00 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินจำนวน 29,478.0 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2532 เป็นต้น ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้าม ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก จำเลยที่ 2 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะขณะทำสัญญาประกันภัยนั้น นางสาว จันทร์จิรา จันทร์เนตร ผู้เอาประกันภัยยังไม่มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ สัญญาประกันภัยย่อมไม่ผูกพันโจทก์และนางสาวจันทร์จิรา ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้ว จากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2ฉ-7893 กรุงเทพมหานคร จากนางสาวจันทร์จิรา เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2531 ตามกรมธรรม์ประกันภัย เอกสารหมาย จ. 3 นางสาวจันทร์จิราเพิ่งทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวไปจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บางกอกอินเวสท์เมนท์ จำกัด เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2531 ซึ่งเป็นวันหลังจากที่โจทก์ทำสัญญาประกันภัยไว้ 28 วัน ต่อมาวันที่ 5 ธันวาคม 2531 รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ดังกล่าวถูกรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 9จ-6386 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับและจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยชนได้รับความเสียหาย เห็นว่าเมื่อนางสาวจันทร์จิรา ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์หลังจากทำสัญญาประกันภัยย่อมถือได้ว่านางสาวจันทร์จิรา ผู้เอาประกันภัยยังมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ ขณะที่โจทก์รับประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ. 3 ดังนั้นสัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์และ นางสาวจันทร์จิราจึงไม่ผูกพันคู่สัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 แม้โจทก์จะได้ชดใช้ค่าเสียหายแทนนางสาวจันทร์จิราก็ไม่ได้รับช่วงสิทธิตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 เนื่องจากคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ในมูลละเมิดอันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบด้วย มาตรา 247 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245
ผู้พิพากษา
ไพโรจน์ คำอ่อน
สมภพ โชติกวณิชย์
สมพงษ์ สนธิเณร
แหล่งที่มา: สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 864/2538
คำพิพากษาย่อสั้น
จ. ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ หลังจากทำสัญญาประกันภัยถือได้ว่า จ. ผู้เอาประกันภัยยังมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ขณะที่โจทก์รับประกันภัย ดังนั้นสัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์และ จ. จึงไม่ผูกพันคู่สัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 863 แม้โจทก์จะได้ชดใช้ค่าเสียหายแทน จ. ก็ไม่ได้รับช่วงสิทธิตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ในมูลละเมิดอันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่1 ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 245 (1) ประกอบด้วยมาตรา 247
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองและเป็นผู้ขับรถยนต์เก๋งหมายเลขทะเบียน 9จ-6386 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถคันดังกล่าว จำเลยที่ 1 ขับรถดังกล่าวด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังชนรถยนต์เก๋งหมายเลขทะเบียน 2ฉ-7893 กรุงเทพมหานคร ที่โจทก์รับประกันภัยไว้และโจทก์ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้ว จึงเข้ารับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 29,478.00 บาทดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2532 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,105.00 บาท รวมเป็นเงิน 30,583.00 บาท และให้ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่าโจทก์ไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2ฉ-7893 กรุงเทพมหานคร และผู้เอาประกันภัยมิใช่ผู้มีส่วนได้เสีย ดังนั้นแม้โจทก์จะได้ชำระค่าซ่อมรถไป ก็ไม่มีอำนาจรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัย เหตุคดีนี้เกิดจากผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2ฉ-7893 กรุงเทพมหานคร ได้ขับรถคันดังกล่าวออกจากซอยตัดหน้ารถยนต์หมายเลขทะเบียน 9จ-6386 กรุงเทพมหานคร ในระยะกระชั้นชิด รถยนต์หมายเลขทะเบียน 2ฉ-7893 กรุงเทพมหานคร เสียหายไม่เกิน 5,000.00 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินจำนวน 29,478.0 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2532 เป็นต้น ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้าม ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก จำเลยที่ 2 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะขณะทำสัญญาประกันภัยนั้น นางสาว จันทร์จิรา จันทร์เนตร ผู้เอาประกันภัยยังไม่มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ สัญญาประกันภัยย่อมไม่ผูกพันโจทก์และนางสาวจันทร์จิรา ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้ว จากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2ฉ-7893 กรุงเทพมหานคร จากนางสาวจันทร์จิรา เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2531 ตามกรมธรรม์ประกันภัย เอกสารหมาย จ. 3 นางสาวจันทร์จิราเพิ่งทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวไปจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บางกอกอินเวสท์เมนท์ จำกัด เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2531 ซึ่งเป็นวันหลังจากที่โจทก์ทำสัญญาประกันภัยไว้ 28 วัน ต่อมาวันที่ 5 ธันวาคม 2531 รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ดังกล่าวถูกรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 9จ-6386 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับและจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยชนได้รับความเสียหาย เห็นว่าเมื่อนางสาวจันทร์จิรา ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์หลังจากทำสัญญาประกันภัยย่อมถือได้ว่านางสาวจันทร์จิรา ผู้เอาประกันภัยยังมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ ขณะที่โจทก์รับประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ. 3 ดังนั้นสัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์และ นางสาวจันทร์จิราจึงไม่ผูกพันคู่สัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 แม้โจทก์จะได้ชดใช้ค่าเสียหายแทนนางสาวจันทร์จิราก็ไม่ได้รับช่วงสิทธิตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 เนื่องจากคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ในมูลละเมิดอันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบด้วย มาตรา 247 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245
ผู้พิพากษา
ไพโรจน์ คำอ่อน
สมภพ โชติกวณิชย์
สมพงษ์ สนธิเณร
แหล่งที่มา: สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
บทความที่เกี่ยวข้อง