ขับรถเร็วแม้ไฟหน้ารถดับ เนื่องจากไฟลัดวงจร ไม่เป็นเหตุสุดวิสัย

ขับรถเร็วแม้ไฟหน้ารถดับเนื่องจากไฟลัดวงจร ไม่เป็นเหตุสุดวิสัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3360/2531
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ขับขี่รถยนต์โดยสารมาด้วยความเร็วสูง เมื่อขับขี่เข้าทางโค้งก็ไม่ชะลอความเร็วลง รถจึงเสียการทรงตัวแล่นออกนอกเส้นทางพลิกคว่ำตกข้างถนน ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาทปราศจากความระมัดระวังเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งโดยสารมาในรถได้รับบาดเจ็บและแม้ไฟหน้าส่องทางของรถดับมืดลงก่อนเกิดเหตุเนื่องจากไฟลัดวงจรก็ตาม ก็หาเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ผู้ขับขี่ที่ต้องตรวจตราระมัดระวังให้รถอยู่ในสภาพเรียบร้อยและขับขี่ด้วยความปลอดภัย จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ทำละเมิดต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการร่วมกันจำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 6 เป็นบริษัทจำกัด จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและตัวแทนของจำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารปรับอากาศหมายเลขทะเบียน 10-0017 นครนายก ซึ่งได้นำเข้าร่วมรับจ้างขนส่งคนโดยสารในนามของจำเลยที่ 5 และเข้าร่วมในเส้นทางสัมปทานของจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นการร่วมกันหาผลประโยชน์ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2525 จำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างและในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 โดยเป็นผู้ขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศ หมายเลขทะเบียน 10-0017 นครนายก ออกจากสถานีขนส่งสายใต้กรุงเทพมหานคร บรรทุกผู้โดยสารเพื่อเดินทางไปสถานีปลายทางคืออำเภอหาดใหญ่ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปถึงเขตตำบลตะโก กิ่งอำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร ด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและไม่ชะลอความเร็ว เมื่อถึงทางโค้งเป็นเหตุให้รถแล่นออกนอกเส้นทางและพลิกคว่ำ ผู้โดยสารถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ โจทก์เองได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัส กระดูกสันหลังหัก กระดูกซี่โครงหัก ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 413,422.67 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การร่วมกันว่า เหตุที่รถแล่นออกนอกเส้นทางและพลิกคว่ำเป็นเหตุสุดวิสัย เนื่องจากไฟลัดวงจร ทำให้ไฟหน้าสำหรับส่องทางดับมืดลง จำเลยทั้งสามจึงไม่จำต้องรับผิดชอบความเสียหายใดๆ
จำเลยที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 5 มิได้เป็นนายจ้างจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 5 เพียงแต่เช่ารถยนต์โดยสารคันดังกล่าวมาวิ่งในกิจการของจำเลยที่ 5 เป็นครั้งคราว ในสัญญาเช่า เจ้าของรถผู้ให้เช่าเป็นผู้จัดหาคนขับและเป็นผู้บังคับบัญชาสั่งการฝ่ายเดียว เหตุที่เกิดในคดีนี้มิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 แต่เกิดจากมีผู้ประสงค์ร้ายนำเหล็กแหลมมาโปรยไว้เต็มถนน เพื่อเก็บทรัพย์สินหลังจากเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถมาทับเหล็กแหลมตรงบริเวณที่เกิดเหตุทำให้ยางเกิดระเบิดและรถพลิกคว่ำจึงเป็นเหตุสุดวิสัย จำเลยไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ 6 ให้การว่า จำเลยที่ 6 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 5 ทำการขนส่งและมิได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 เหตุที่เกิดรถคว่ำมิใช่เพราะความผิดของจำเลยที่ 1 แต่เกิดจากรถบรรทุกขนาดใหญ่ซึ่งแล่นสวนทางมาด้วยความเร็วล้ำเส้นทางวิ่งของรถยนต์โดยสารซึ่งจำเลยที่ 1 ขับขี่ จำเลยที่ 1 จึงต้องขับรถหลบไปข้างทางเพื่อหลีกเลี่ยงการชนกับรถคันดังกล่าวเป็นเหตุให้รถซึ่งจำเลยที่ 1 ขับขี่เสียการทรงตัวพลิกคว่ำลง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันชำระเงิน 330,894.56 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 318,619.00 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 6 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 6 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 3 และที่ 4 หุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการร่วมกันจำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 6 เป็นบริษัทจำกัด จำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 มีวัตถุประสงค์ในการเดินรถรับจ้างขนส่งคนโดยสาร จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารปรับอากาศหมายเลขทะเบียน 10-0017 นครนายก ตามปกติจำเลยที่ 2 ได้นำรถยนต์คันเกิดเหตุเข้าร่วมวิ่งรับส่งคนโดยสารกับจำเลยที่ 6 ในเส้นทางสายกรุงเทพมหานคร-อรัญประเทศ อันเป็นเส้นทางในสัมปทานของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2525เวลาประมาณ 20.00 น. โจทก์โดยสารรถยนต์ปรับอากาศของจำเลยที่ 5 ที่สถานีขนส่งสายใต้กรุงเทพมหานคร คันหมายเลขทะเบียน 10-0017 นครนายก จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับขี่ ครั้นวันที่ 24 เดือนเดียวกันเวลาประมาณ 05.00 นาฬิกา เมื่อรถยนต์โดยสารคันดังกล่าวมาถึงเขตตำบลตะโก กิ่งอำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร ได้แล่นออกนอกเส้นทางเสียหลักพลิกคว่ำตกข้างถนนเป็นเหตุให้ผู้โดยสารถึงแก่ความตาย 2 คน และบาดเจ็บหลายคน ส่วนโจทก์ได้รับบาดเจ็บกระดูกซี่โครงขวาหัก 4 ซี่ ซี่โครงซ้ายหัก 3 ซี่ และกระดูกสันหลังบริเวณเอวแตกหัก แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 6 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์นั้น เกี่ยวกับประเด็นข้อนี้ จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่าเหตุที่รถแล่นออกนอกทางแล้วพลิกคว่ำนี้ เป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เนื่องจากไฟลัดวงจรทำให้ไฟหน้ารถส่องทางดับลง ประกอบกับถนนตรงที่เกิดเหตุเป็นทางโค้ง แม้จำเลยที่ 1 จะขับรถด้วยความระมัดระวังอยู่แล้วก็ไม่สามารถบังคับรถให้อยู่ในถนนทางเดินรถได้ เห็นว่าแม้จะฟังว่าเหตุที่ไฟลัดวงจรทำให้ไฟหน้าส่องทางดับมืดก็ตาม ก็หาเป็นเหตุสุดวิสัยไม่เพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ผู้ขับขี่จะต้องตรวจตราระมัดระวังให้รถอยู่ในสภาพเรียบร้อยและขับขี่ด้วยความปลอดภัย ข้อเท็จจริงปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 เองขับรถมาด้วยความเร็วสูง เมื่อขับขี่เข้าทางโค้งก็ไม่ชะลอความเร็วลง รถจึงเสียการทรงตัวแล่นออกนอกเส้นทางพลิกคว่ำตกข้างถนน คดีจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังเป็นเหตุให้รถพลิกคว่ำตกถนน เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บซี่โครงและกระดูกสันหลังหัก จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ทำละเมิด ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
พิพากษายืน
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437
ผู้พิพากษา
ประชา บุญวนิช
ดุสิต วราโห
เสริมพงศ์ วรยิ่งยง
แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา


