แชร์

โจทก์มีส่วนกระทำการอันเป็นละเมิดนั้นอยู่ด้วยก็ไม่ทำให้อำนาจฟ้องหมดไป

อัพเดทล่าสุด: 6 มิ.ย. 2024
385 ผู้เข้าชม

โจทก์มีส่วนกระทำการอันเป็นละเมิดนั้นอยู่ด้วยก็ไม่ทำให้อำนาจฟ้องหมดไป 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  13711372/2513 

คำพิพากษาย่อสั้น
     ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งให้จำเลยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากการกระทำละเมิดต่อโจทก์ แม้จะได้ความว่าผู้เสียหายผู้เป็นโจทก์มีส่วนกระทำการอันเป็นละเมิดนั้นอยู่ด้วยก็ไม่ทำให้อำนาจฟ้องของผู้เสียหายหมดไป
แม้สัญญาการเดินรถร่วมกันระหว่างบริษัทจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของรถจะไม่มีกรรมการลงชื่อแทนบริษัทอันเป็นการผิดข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ 3 ก็ตาม เมื่อบริษัทจำเลยที่ 3 รับเอาผลของสัญญาและปล่อยให้รถของจำเลยที่ 2 เดินร่วมทางและให้อยู่ในความควบคุมของจำเลยที่ 3 รับส่งคนโดยสารในปกติธุรกิจของตนเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถคันนี้แล้ว เมื่อจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 กระทำการอันเป็นละเมิดขึ้นจำเลยที่ 3 ย่อมต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 และที่ 1 ในผลแห่งการละเมิดนั้นด้วย
การคำนวณค่าสินไหมทดแทนในกรณีละเมิดนั้น เมื่อความเสียหายอันเกิดจากการละเมิดนั้น ผู้เสียหายมีส่วนกระทำการละเมิดนั้นอยู่ด้วยก็ต้องนำบทบัญญัติมาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับ แต่ศาลย่อมมีอำนาจหยิบยกเอาเหตุที่โจทก์มีส่วนประมาทด้วยมาเป็นข้อวินิจฉัยได้ 

คำพิพากษาย่อยาว
     คดีสองสำนวนนี้ โจทก์ต่างคนกัน จำเลยเป็นคน ๆ เดียวกันศาลพิจารณาพิพากษารวมเข้าด้วยกัน โดยโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารซึ่งมีจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างทำหน้าที่เป็นคนขับ ร่วมกันรับผิดในการกระทำละเมิดที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไปในทางการที่จ้างโดยประมาทชนรถยนต์ซึ่งเป็นของโจทก์ในคดีหลัง โดยโจทก์ในคดีแรกเป็นคนขับ ทำให้โจทก์ในสำนวนแรกได้รับอันตรายแก่กาย และรถของโจทก์ในคดีหลังเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ในคดีแรก 6,180 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จใช้ค่าเสียหายให้โจทก์คดีหลังเป็นค่าซ่อมรถเป็นเงิน 58,750 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยจากวันฟ้องด้วย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การรับว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์คันเกิดเหตุซึ่งเป็นของจำเลยที่ 2 จริง จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำประมาท แต่เป็นเพราะโจทก์ในคดีแรกประมาทขับรถตัดหน้ารถจำเลยที่ 1 ในระยะกระชั้นชิด จึงเป็นเหตุให้ชนกัน โจทก์คดีแรกจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง ค่าเสียหายของโจทก์ทั้ง 2 สำนวนไม่ถึงตามจำนวนที่เรียกร้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับร่วมกัน จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ไม่เคยใช้รถยนต์คันนี้รับส่งคนโดยสาร การที่รถชนกันไม่ใช่ความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่เป็นความประมาทของโจทก์ในคดีแรกเอง ค่าเสียหายก็ไม่ถึงจำนวนที่โจทก์เรียกร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เชื่อว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 และนำรถเข้าวิ่งร่วมทางเดียวกับรถยนต์ของบริษัทจำเลยที่ 3 จำเลยทั้งสามต้องรับผิดร่วมกันพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์สำนวนแรก 3,680 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี จากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและให้ใช้เงินแก่โจทก์สำนวนหลัง  31,150 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี จากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 3 ผู้เดียวอุทธรณ์ว่า หลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า รถคันที่จำเลยที่ 1 ขับเป็นของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 803/2507 ของศาลแขวงสงขลาแล้วว่า โจทก์ในคดีแรกเป็นผู้ประมาทเลินเล่อในเหตุรถชนกันนี้ด้วย โจทก์คดีแรกจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในคดีแรกไม่เกิน 200 บาท คดีหลังค่าเสียหายไม่เกิน 12,000 บาท
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่เป็นฝ่ายกระทำละเมิดต่อโจทก์แม้จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 แต่รถคันที่จำเลยที่ 1 ขับ เป็นรถที่ร่วมวิ่งอยู่ในเส้นทางเดียวกันกับรถของบริษัทจำเลยที่ 3 การที่ลูกจ้างบริษัทจำเลยที่ 3 ลงชื่อและประทับตราบริษัทในสัญญาการเดินรถร่วม จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ก็ได้รับเอาผลของนิติกรรมนั้นตลอดมา บริษัทจำเลยที่ 3 จะปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ ปรากฏว่าโจทก์ในคดีแรกเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่ออยู่ด้วย แต่จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อมากกว่าค่าเสียหายจึงคำนวณให้ตามส่วน พิพากษาแก้ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์คดีแรก 2,463 บาท โจทก์คดีหลัง 20,766 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่ง จากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์คดีหลังฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้รับน้อยลงโดยถือว่าโจทก์ในคดีแรกคนขับรถของโจทก์ในคดีหลังประมาทเลินเล่อด้วยนั้นยังไม่ชอบ เพราะมิใช่ประเด็นที่ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้น และจำเลยมิได้สืบหักล้าง อีกทั้งคนขับรถของโจทก์คดีหลังไม่ได้ประมาท
จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์คดีแรกไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะเป็นผู้เสียหายมีส่วนประมาทด้วยกัน จำเลยที่ 3 ไม่ใช่เจ้าของรถคันที่จำเลยคดีแรกขับ จำเลยไม่ต้องรับผิด ศาลอุทธรณ์คิดค่าเสียหายให้โจทก์มากเกินสมควร
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การฟ้องคดีแพ่งหาว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์แม้ทางพิจารณาในส่วนอาญาจะฟังว่าโจทก์มีส่วนประมาทอยู่บ้างก็หาทำให้อำนาจฟ้องทางแพ่งของโจทก์หมดไปไม่ เมื่อปรากฏว่าจำเลยเป็นฝ่ายทำให้โจทก์เสียหายแล้ว โจทก์จะเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ ศาลจะต้องคำนึงถึงความเสียหายว่าฝ่ายใดก่อให้เกิดความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ประเด็นในเรื่องความรับผิดของจำเลยที่ 3 ศาลฎีกาเห็นพ้องกับความเห็นของศาลอุทธรณ์ แม้สัญญาฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2506 นี้จะไม่มีกรรมการบริษัทลงชื่อแทนจำเลยที่ 3 ก็ตาม เมื่อจำเลยที่ 3 รับเอาผลของสัญญา และปล่อยให้รถจำเลยที่ 2 เดินร่วมทางและให้อยู่ในความควบคุมของจำเลยที่ 3 รับส่งคนโดยสารในปกติธุรกิจของตนเช่นนี้ ถือว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถคันนี้แล้ว จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดร่วมต่อโจทก์
ประเด็นในเรื่องค่าเสียหายที่จำเลยที่ 3 ฎีกา เห็นว่าสมควรแล้วไม่มีทางกลับแก้
ประเด็นในเรื่องศาลอุทธรณ์แก้ค่าเสียหายตามที่โจทก์คดีแรกฎีกา เห็นว่า การคำนวณค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ฉะนั้นในเรื่องนี้เมื่อปรากฏความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งของผู้ต้องเสียหายประกอบด้วยก็ต้องนำบทบัญญัติมาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาบังคับแก่กรณีดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ซึ่งศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นชอบด้วยโจทก์เถียงว่าโจทก์คดีแรกไม่ได้ประมาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำเบิกความของสิบตำรวจเอกสุรชัยเอง คำร้อยตำรวจโทวีระ พนักงานสอบสวน แผนที่เกิดเหตุ และสำนวนคดีอาญาแดงที่ 803/2507 ของศาลแขวงสงขลา ฟังได้ว่าสิบตำรวจเอกสุรชัยเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่ออยู่ด้วย เป็นเหตุให้รถชนกัน ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน 

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 223
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 

ผู้พิพากษา
ถาวร หุตะโกวิท
ชลอ บุปผเวส
จรัญ อิศระ 

แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ