แชร์

จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลบุตรซึ่งเป็นผู้เยาว์

อัพเดทล่าสุด: 6 มิ.ย. 2024
153 ผู้เข้าชม

จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลบุตรซึ่งเป็นผู้เยาว์จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2256/2517

คำพิพากษาย่อสั้น
     บิดามารดามีรถยนต์บรรทุก 2 คันจอดไว้ที่ถนนเพราะไม่มีที่เก็บ มองจากบ้านไม่เห็นรถ บุตรเคยขับรถคันเกิดเหตุไปล้างใกล้ๆ กับที่จอด โดยบางครั้งบิดาก็ใช้ ซึ่งแสดงว่าบิดามารดาทราบดีว่าบุตรขับรถยนต์ได้ ทั้งบุตรก็ยังเป็นผู้เยาว์ อายุ 18 ปี อยู่ในวัยคะนอง ชอบคบเพื่อนเที่ยวเตร่ แต่บิดามารดากลับเก็บกุญแจรถไว้ในลิ้นชักโต๊ะโดยไม่ใส่กุญแจ เป็นโอกาสให้บุตรเอากุญแจรถไปได้และขับรถของบิดามารดาไปทำละเมิดต่อโจทก์ ย่อมถือได้ว่าบิดามารดาไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลบุตรซึ่งเป็นผู้เยาว์ จึงต้องรับผิดร่วมกับบุตรด้วย

คำพิพากษาย่อยาว
     โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องจำเลยเป็นใจความว่า กรมที่ดินโจทก์สำนวนแรกเป็นเจ้าของรถยนต์ นายชั้นโจทก์ในสำนวนที่สองเป็นข้าราชการในกรมโจทก์สำนวนแรก จำเลยที่ 1 เป็นผู้เยาว์ จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เป็นบิดาและมารดาของจำเลยที่ 1 ในวันเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 กลับจากจังหวัดชลบุรีมาตามถนนสายบางนา-ตราด ส่วนรถของโจทก์มีนายสมจริงเป็นคนขับ มีโจทก์ในสำนวนที่ 2 กับผู้อื่นนั่งไปด้วย มุ่งหน้าไปจังหวัดชลบุรี เมื่อถึงกิโลเมตรที่ 15-16 จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทใช้ความเร็วสูงและกินทางเข้ามาในทางรถของโจทก์เป็นเหตุให้รถที่จำเลยที่ 1 ขับชนด้านข้างรถโจทก์พลิกคว่ำตกถนนด้วยกันทั้งคู่ รถของโจทก์สำนวนแรกเสียหาย 36,500 บาท โจทก์สำนวนหลังได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินหายคิดเป็นเงินค่าเสียหาย 51,765 บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้พร้อมด้วยดอกเบี้ย

     จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า ขณะเกิดเหตุ คนขับรถของโจทก์เป็นฝ่ายประมาทขับรถกินทางเข้ามาชนรถจำเลย จำเลยที่ 1 มิได้เป็นคนขับ นายอี๊ดเพื่อนของจำเลยที่ 1 เป็นคนขับ เพื่อนของจำเลยที่ 1 ชวนจำเลยที่ 1 เอารถของจำเลยที่ 2 ไปเที่ยว เป็นการเหลือวิสัยที่จำเลยที่ 2 จะควบคุมได้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ระมัดระวังดูแลตามควรในฐานะเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ไม่ได้เสียหายดังฟ้อง ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม

     ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยประมาท พิพากษายกฟ้อง

     โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์

     ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย

     จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา

     ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมและฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนขับรถของจำเลยที่ 2 และเป็นฝ่ายประมาทขับรถชนรถโจทก์ สำหรับประเด็นที่ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์หรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีรถยนต์บรรทุก 2 คัน จอดไว้นอกถนนเพราะไม่มีที่เก็บมองจากบ้านไปที่รถไม่เห็น จำเลยที่ 1 รับว่าเคยขับรถไปล้างใกล้ ๆ ที่จอด โดยบางครั้งบิดาก็ใช้ แสดงว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ขับรถได้ จำเลยที่ 1 อายุ 18 ปี กำลังอยู่ในวัยคะนอง ชอบคบเพื่อนเที่ยวเตร่ ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 เก็บกุญแจรถยนต์ไว้ในลิ้นชักโต๊ะโดยไม่ใส่กุญแจ เป็นโอกาสให้จำเลยที่ 1 เอากุญแจไปขับรถทำละเมิดต่อโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลบุตรซึ่งเป็นผู้เยาว์จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์ด้วย

พิพากษายืน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429

ผู้พิพากษา
สนิท บริรักษ์
สุธรรม วรรณแสง
สงวน สิทธิไชย

แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ