แชร์

จำเลยที่ 2 ได้รับผลประโยชน์ในการนี้ด้วย เท่ากับจำเลยที่ 2 เชิดให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2

อัพเดทล่าสุด: 6 มิ.ย. 2024
176 ผู้เข้าชม

จำเลยที่ 2 ได้รับผลประโยชน์ในการนี้ด้วย เท่ากับจำเลยที่ 2 เชิดให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 นั่นเอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2452/2531

คำพิพากษาย่อสั้น
     ผู้มีชื่อนำรถแท็กซี่มาจดทะเบียนเป็นชื่อของบริษัทจำเลยที่ 2 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ประกอบการเดินรถยนต์บรรทุกคนโดยสาร แล้วจำเลยที่ 2 ยอมให้จำเลยที่ 1 นำรถคันดังกล่าวออกวิ่งรับคนโดยสารโดยมีตราบริษัทจำเลยที่ 2 ติดอยู่ข้างรถและจำเลยที่ 2 ได้รับผลประโยชน์จากการนี้ด้วย ดังนี้ เท่ากับจำเลยที่ 2 เชิดให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนในการรับจ้างบรรทุกคนโดยสาร จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ผู้ได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 1

คำพิพากษาย่อยาว
     โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนหรือตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถแท็กซี่โดยประมาทชนโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่าโจทก์มีส่วนประมาทและค่าเสียหายสูงเกินความจริง
จำเลยที่ 2 ให้การว่านางสาวฤทัยเจ้าของรถคันดังกล่าวนำรถมาวิ่งในนามของจำเลยที่ 2 เพราะไม่อาจวิ่งรับจ้างโดยอิสระได้นางสาวฤทัยเป็นผู้ครอบครองและเสียภาษีรถยนต์ในนามของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เรียกค่าธรรมเนียมการนำเข้าร่วมจากนางสาวฤทัยคันละ 60 บาทต่อเดือน จำเลยที่ 1 เช่ารถคันเกิดเหตุไปจากจำเลยที่ 2 เป็นประจำทุกวัน มิใช่ตัวแทนของจำเลยที่ 2 รถชนโจทก์เพราะโจทก์วิ่งตัดหน้าสุดวิสัยที่จำเลยที่ 1 จะหยุดรถได้ทันขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 101,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์มีส่วนในความประมาทที่ก่อให้เกิดความเสียหาย แต่จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทมากกว่า จึงให้จำเลยรับผิด 2 ใน 3 ส่วน ปัญหาว่าจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบการเดินรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารในกรุงเทพมหานคร นางฤทัยสมาชิกของจำเลยที่ 2 ได้นำแท็กซี่คันเกิดเหตุมาจดทะเบียนเป็นชื่อของจำเลยที่ 2 แล้วนำออกวิ่งรับคนโดยสารในนามบริษัทจำเลยที่ 2 โดยมีตราของจำเลยที่ 2 ติดอยู่ข้างรถโดยเปิดเผยและจำเลยที่ 2 ได้รับผลประโยชน์จากนางฤทัยในการนำแท็กซี่คันเกิดเหตุเข้าร่วมดังกล่าวเห็นว่าแม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้เป็นลูกจ้างได้รับเงินเดือนจากจำเลยที่ 2 แต่การที่จำเลยที่ 2 ยอมให้มีการจดทะเบียนแท็กซี่คันเกิดเหตุเป็นชื่อของจำเลยที่ 2 แล้วยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำแท็กซี่คันดังกล่าวออกวิ่งรับคนโดยสารในนามของจำเลยที่ 2 โดยเปิดเผย โดยจำเลยที่ 2 ได้รับผลประโยชน์ในการนี้ด้วย เท่ากับจำเลยที่ 2 เชิดให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 นั่นเอง บุคคลทั่วไปย่อมเข้าใจว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ประกอบการเดินรถยนต์รับจ้างสาธารณะรับบรรทุกคนโดยสารในกิจการของจำเลยที่ 2 เอง จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ด้วยและโดยเหตุที่หนี้ที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดต่อโจทก์นี้เป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นฝ่ายฎีกา ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 245 ประกอบด้วยมาตรา 247
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 67,333.33 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์.

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821

ผู้พิพากษา
สัมฤทธิ์ ไชยศิริ
มาโนช เพียรสนอง
สีนวล คงลาภ

แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ