แชร์

คดีในส่วนแพ่งศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

อัพเดทล่าสุด: 1 ธ.ค. 2025
9 ผู้เข้าชม

คดีในส่วนแพ่งศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6024/2554

 

คำพิพากษาย่อสั้น

คดีส่วนอาญาข้อเท็จจริงฟังยุติว่า จำเลยขับรถด้วยความประมาทโดยขับเร็วล้ำเข้าไปเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายทั้งสองในช่องเดินรถของผู้ตายทั้งสอง คดีในส่วนแพ่งศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา กล่าวคือต้องฟังว่าจำเลยขับรถด้วยความประมาท ที่ศาลในคดีส่วนอาญาฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า ผู้ตายทั้งสองมีส่วนกระทำประมาทด้วย ไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสองเพราะไม่ใช่เป็นประเด็นโดยตรงในคดีส่วนอาญา เป็นเพียงการวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษจำเลยให้เบาลง ดังนั้นในคดีส่วนแพ่งผู้ตายทั้งสองมีส่วนกระทำประมาทด้วยหรือไม่ และจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือไม่เพียงใด จำเลยมีหน้าที่ต้องพิสูจน์
ผู้เสียหายที่มิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เฉพาะในคดีอาญาเท่านั้นไม่มีผลถึงอำนาจฟ้องคดีแพ่ง โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้

 

คำพิพากษาย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 2 ถึงแก่ความตาย นางปลื้ม ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 20,000 บาท และจำนวน 74,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ตามลำดับพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละรายนับถัดจากวันฟ้อง(ฟ้องวันที่ 28 พฤศจิกายน 2539) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความรวม 4,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ทั้งสองชนะคดี

จำเลยฎีกา

ระหว่างพิจารณาศาลฎีกา จำเลยถึงแก่ความตาย นางปลื้ม ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกของนางสาววิมล ทายาทของจำเลยเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกามีคำสั่งตั้งบุคคลผู้ถูกเรียกเป็นคู่ความแทน

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ว่า โจทก์ที่ 1 เป็นพี่สาวและทายาทของนายวัชรินทร์ ผู้ตายที่ 1 โจทก์ที่ 2 เป็นบิดาของนายพรพิรม ผู้ตายที่ 2 เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2538 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา ผู้ตายที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ มีนายสุวิทย์ ซ้อนท้าย และผู้ตายที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ไปตามถนนศรีเชียงใหม่ - ท่าบ่อ จากทางอำเภอท่าบ่อมุ่งหน้าไปทางอำเภอศรีเชียงใหม่ เมื่อถึงที่เกิดเหตุถนนบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 39 ถึง 40 ซึ่งเป็นทางโค้ง จำเลยขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 4 บ - 7545 กรุงเทพมหานคร สวนทางมาและด้วยความประมาทจำเลยขับรถด้วยความเร็วล้ำเข้าไปเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ทั้งสองคันในช่องเดินรถของผู้ตายทั้งสอง เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ทั้งสองคันได้รับความเสียหายและผู้ตายทั้งสองถึงแก่ความตาย ต่อมาพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา โดยมีนายสุวิทย์และโจทก์ที่ 2 เป็นโจทก์ร่วม ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157, ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1897/2541 ของศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่ว่าผู้ตายทั้งสองมีส่วนในการประมาทเป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญามีผลผูกพันโจทก์ทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดฐานละเมิด เรียกค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูเพราะเหตุรถเฉี่ยวชนกันเป็นเหตุให้ผู้ตายทั้งสองถึงแก่ความตาย จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษา คดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ในคดีส่วนอาญาข้อเท็จจริงฟังยุติว่า จำเลยขับรถด้วยความประมาทโดยขับเร็วล้ำเข้าไปเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายทั้งสองในช่องเดินรถของผู้ตายทั้งสอง คดีในส่วนแพ่งศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา กล่าวคือ ต้องฟังว่าจำเลยขับรถด้วยความประมาท ที่ศาลในคดีส่วนอาญาฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าผู้ตายทั้งสองมีส่วนกระทำประมาทด้วยนั้น ไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสอง เพราะไม่ใช่เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญา เป็นเพียงการวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษจำเลยให้เบาลง ดังนั้น ในคดีส่วนแพ่งผู้ตายทั้งสองมีส่วนกระทำประมาทด้วยหรือไม่ และจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือไม่ เพียงใด จำเลยย่อมมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองและจำเลยแล้ววินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยไม่สืบพยาน ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่าผู้ตายทั้งสองมีส่วนประมาทนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า ผู้ตายทั้งสองมีส่วนประมาท จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยและไม่มีอำนาจฟ้องคดีนั้น เห็นว่า ผู้เสียหายที่มิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยไม่มีอำนาจฟ้องเฉพาะในคดีอาญาเท่านั้น ไม่มีผลถึงอำนาจฟ้องคดีแพ่ง โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างมานั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษานั้นชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

 

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55

ผู้พิพากษา
ชูเกียรติ ตันทวีวงศ์
ประทีป ดุลพินิจธรรมา
สุริยง ลิ้มสถิรานันท์

แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

 

สามารถรับชมเพิ่มเติมได้ที่ 

Youtube     https://youtu.be/7jY2yphvJmM?si=J4i0VwBhLb7XBX7i

TikTok                  :https://www.tiktok.com/@lawyeraor/video/7501562158673562888?is_from_webapp=1&sender_device=pc&web_id=7539731687648364033

ติดต่อทีมงานทนายอ้อได้ที่ ⬇️

Facebook        :https://www.facebook.com/share/1Bb1gYBdZc/?mibextid=wwXIfr

Tiktok               :https://www.tiktok.com/@lawyeraor

 Line                  :https://line.me/ti/p/NBw5dNkeFt

 เบอร์โทรศัพท์   : 081-755-5585 , 065-701-1441

 Website           : https://www.lawyer-aor.com/

 

#ฟ้องคดีรถชนกับทนายอ้อ
#ฟ้องคดีอุบัติเหตุกับทนายอ้อ
#ฟ้องคดีประกันภัยกับทนายอ้อ
#ทนายความคดีรถชน
#ทนายความคดีอุบัติเหตุ
#ฟ้องคดีรถชน
#ทนายความ
#ทนายอ้อ
#ฟ้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
#ฟ้องคดีละเมิด
#ปรึกษาทนายความคดีรถชนฟรี

 


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ