ขับรถสิบล้อผ่านทางแยกในเขตชุมชนไม่ลดความเร็ว ถือว่าประมาท

จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อบรรทุกหินและทรายหนัก 13 ตัน ผ่านทางแยก ทางร่วม สองข้างทางเป็นร้านค้าและบ้านคนอยู่อาศัย ทั้งมีเด็กๆกำลังวิ่งเล่นอยู่ไม่ลดความเร็ว ถือว่าจำเลยประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3192/2531
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อบรรทุกหินและทรายหนัก 13 ตัน ผ่านทางร่วม ทางแยก สองข้างทางเป็นร้านค้าและบ้านคนอยู่อาศัย ทั้งมีเด็กๆกำลังวิ่งเล่นอยู่ ด้วยความเร็วประมาณ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มิได้ลดความเร็วลงเลย เป็นการขับรถโดยประมาท แม้เด็กชายส. ผู้ตาย วิ่งตัดหน้ารถจำเลยในระยะ 40 เมตร แต่ถ้าจำเลยไม่ขับรถเร็ว เมื่อจำเลยเห็นผู้ตายวิ่งข้ามถนนในระยะ 40 เมตร จำเลยย่อมหยุดรถได้ทัน การที่จำเลยขับรถชนผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงเป็นผลโดยตรงจากความประมาทของจำเลย
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 78, 157, 160 และคืนรถของกลางให้แก่เจ้าของ จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 43, 78, 157, 160 วรรคแรก เรียงกระทงลงโทษ ฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 จำคุก 3 ปี ฐานหลบหนี ไม่ช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้จำคุก 1 เดือน รถของกลางคืนให้แก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาในปัญหาที่ว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือไม่ ข้อนี้ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองว่า เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2528 เวลา 17.30 นาฬิกา จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 70-0165 สกลนคร บรรทุกหินและทรายหนักประมาณ 13 ตัน มาตามถนนสายบึงกาฬ-พังโคน มุ่งหน้าไปทางพังโคนด้วยความเร็วประมาณ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ครั้นถึงบ้านหนองจันทร์ซึ่งเป็นทางร่วมทางแยก สองข้างทางเป็นร้านค้าและบ้านคนอยู่อาศัยเป็นที่ชุมนุมชน ทั้งมีเด็กๆวิ่งเล่นอยู่ข้างถนน จำเลยก็มิได้ลดความเร็วของรถลงแต่ประการใด ในพฤติการณ์เช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยขับรถโดยประมาท เมื่อข้อเท็จจริงได้ความต่อไปว่า รถบรรทุกสิบล้อคันที่จำเลยขับชนเด็กชายแสบหรือสมชาย พันธ์สาย ซึ่งวิ่งตัดหน้ารถของจำเลยในระยะ 40 เมตรถึงแก่ความตาย คดีจึงมีปัญหาว่า การที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นผลมาจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าถ้าจำเลยไม่ขับรถด้วยความเร็ว เมื่อจำเลยเห็นผู้ตายวิ่งข้ามถนนในระยะ 40 เมตร จำเลยย่อมหยุดรถได้ทัน ดังนั้นการที่จำเลยขับรถชนผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นผลโดยตรงจากความประมาทของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้ตายวิ่งตัดหน้ารถของจำเลยอย่างกระชั้นชิด ยากที่จำเลยจะหยุดรถได้ทัน ซึ่งเท่ากับว่าความตายที่เกิดขึ้นไม่ใช่ผลที่มาจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีไม่ปรากฏข้อเท็จจริงจากการนำสืบของฝ่ายใดว่า แม้จำเลยจะขับรถช้าโดยลดความเร็วของรถลง เมื่อผู้ตายวิ่งตัดหน้ารถของจำเลยในระยะที่กล่าวมาแล้ว รถของจำเลยก็ต้องชนผู้ตายเพราะหยุดรถไม่ทันเช่นเดียวกัน ดังนั้นการที่รถของจำเลยชนผู้ตายจะถือว่าไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยไม่ได้ จำเลยจึงมีความผิด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น"
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง :
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
ผู้พิพากษา :
เดชา สุวรรณโณ
สวัสดิ์ รอดเจริญ
ส่อง สุขะปุณณพันธ์
ติดต่อทีมงานทนายอ้อได้ที่ ⬇️
Facebook :https://www.facebook.com/share/1Bb1gYBdZc/?mibextid=wwXIfr
Tiktok :https://www.tiktok.com/@lawyeraor
Line :https://line.me/ti/p/NBw5dNkeFt
เบอร์โทรศัพท์ : 081-755-5585 , 065-701-1441
Website :https://www.lawyer-aor.com/


