แชร์

ไม่ได้หยุดรถและเมื่อเห็นรถไฟแล่นมา ถือได้ว่าจำเลยประมาทอย่างร้ายแรง

อัพเดทล่าสุด: 12 ธ.ค. 2025
282 ผู้เข้าชม

ไม่ปฏิบัติตามป้ายจราจร ไม่ได้หยุดรถและเมื่อเห็นรถไฟแล่นมาและชนกับรถไฟ ถือได้ว่าจำเลยประมาทอย่างร้ายแรง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 526/2534

คำพิพากษาย่อสั้น
 ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุมีป้ายจราจรติดตั้งไว้ 2 ป้าย ป้ายแรกเขียนว่า "ให้ระวังรถไฟ" และอีกป้ายหนึ่งเขียนว่า "หยุด" แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้หยุดรถและเมื่อเห็นรถไฟแล่นมาขณะอยู่ห่างประมาณ 30 เมตร จำเลยที่ 1 เร่งเครื่องยนต์เพื่อขับข้ามทางรถไฟให้พ้นแต่ไม่ทัน จึงเป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับชนกับรถไฟ ดังนี้ จำเลยละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร กลับฝ่าฝืนและเสี่ยงภัยอย่างชัดแจ้ง ตามพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความประมาทอย่างร้ายแรง แม้การรถไฟแห่งประเทศไทยโจทก์ไม่มีแผงกั้นทางขณะรถไฟแล่นผ่านที่เกิดเหตุ ก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วย แต่เป็นความประมาทของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว โจทก์เคยตกลงค่าเสียหายกับพนักงานสอบสวนตามบันทึกประจำวันว่าโจทก์เสียหาย 50,000.00 บาท บันทึกดังกล่าวเป็นเพียงการประเมินความเสียหายชั้นต้น แต่ค่าเสียหายที่แท้จริงจะต้องรอตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ไม่อาจถือได้ว่าข้อความที่บันทึกไว้ในเอกสารนั้นเป็นค่าเสียหายที่แน่นอนแล้ว โจทก์มีระเบียบในการคิดค่าเสียหายไว้ใช้เป็นหลักในการคิดค่าเสียหายไม่ได้ใช้เฉพาะกับกรณีของจำเลยเท่านั้น ค่าขาดประโยชน์โจทก์ได้คิดเปรียบเทียบกับรถยนต์ว่าควรจะเป็นเท่าใด มีรายละเอียดที่พอเชื่อถือได้ ส่วนค่าปั้นจั่นยกรถ แม้ปั้นจั่นจะเป็นของโจทก์แต่ก็ต้องมีการขนย้ายและเสียค่าใช้จ่าย เมื่อจำเลยที่ 1 ทำละเมิดก็ต้องรับผิดในความเสียหายดังกล่าว

คำพิพากษาย่อยาว
 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ซึ่งเอาประกันภัยค้ำจุนไว้กับบริษัทจำเลยที่ 3 ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาท ขณะจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ใกล้ถึงทางตัดผ่านทางรถไฟบริเวณที่หยุดรถ จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรที่กำหนดไว้ให้ จำเลยต้องระวังและหยุดรถก่อนถึงทางรถไฟเพื่อดูว่ามีรถไฟผ่านหรือไม่ก่อน ทั้งๆที่มีรถยนต์คันอื่นหยุดรถรออยู่ก่อนแล้ว แต่จำเลยที่ 1 กลับเร่งรถยนต์แซงรถยนต์คันที่จอดรอข้ามทางรถไฟ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ขบวนรถไฟของโจทก์ลากจูงโดยรถจักรดีเซลกำลังแล่นผ่านทางตอนนั้นพอดี สุดความสามารถที่เจ้าหน้าที่ของโจทก์จะหยุดขบวนรถไฟได้ทัน จึงชนกับรถยนต์คันดังกล่าว ทำให้รถยนต์ตกไปข้างทางรถไฟ รถจักรดีเซลตกราง 2 ล้อและได้รับความเสียหาย ทางรถไฟชำรุดเสียหาย รถไฟที่ตกรางกีดขวางการเดินรถทำให้ขบวนรถอื่นๆเสียเวลา โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันชำระค่าเสียหาย 112,186.00 บาท ให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย

 จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การว่า ความเสียหายของรถไฟขบวนที่ 349 ไม่ได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว เป็นเพราะความประมาทของโจทก์ด้วย บริเวณที่เกิดเหตุเป็นถนนกว้างมีทางแยกทางโค้ง โจทก์มีเพียงเครื่องหมายวงกลมบอกให้หยุดรถ โดยไม่มีที่กั้นไม่ให้รถยนต์ผ่านทางรถไฟขณะที่มีรถไฟแล่นผ่าน โจทก์ไม่มีพนักงานคอยดูแลความปลอดภัยและให้สัญญาณว่าเวลาใดรถยนต์แล่นผ่านได้หรือไม่ ขณะที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ถึงที่เกิดเหตุเป็นทางโค้งมีต้นไม้ขึ้นหนาทึบไม่อาจมองเห็นสัญญาณหรือรางรถไฟได้ว่าบริเวณดังกล่าวมีรถไฟผ่าน พนักงานของโจทก์เห็นจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์มาถึงที่เกิดเหตุในระยะไกลไม่ได้ให้ความระมัดระวังดูแลความปลอดภัยตามสมควร ไม่หยุดรถไฟทำให้รถไฟชนกับรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับ รถไฟไม่ได้ตกราง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย หากเรียกได้ก็ไม่เกิน 2,000.00 บาท ค่าจัดรถไฟเดินแทนรถไฟคันที่เกิดเหตุไม่เกิน 9,000.00 บาทค่าซ่อมบำรุงทางรถไฟมิได้มีการจ่ายจริง ทางรถไฟไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง

 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์รวม 71,272.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2527 ซึ่งเป็นวันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระให้โจทก์เสร็จ

 จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์

 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์รวม 71,270.00 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 7 เมษายน 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระให้โจทก์เสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

 จำเลยที่ 3 ฎีกา

 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาจะต้องวินิจฉัยข้อแรกมีว่า โจทก์มีส่วนประมาทด้วยหรือไม่เห็นว่า เหตุที่รถเกิดชนกันนี้เพราะจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ตัดหน้ารถไฟในระยะกระชั้นชิด ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า การที่โจทก์ไม่จัดให้มีแผลกั้นทางขณะรถไฟแล่นผ่านที่ถนนตัดผ่านถือว่าโจทก์มีส่วนประมาทอยู่ด้วยนั้น ข้อนี้ได้ความว่า ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุมีป้ายจราจรติดตั้งไว้ 2 ป้าย ป้ายแรกเขียนว่า "ให้ระวังรถไฟ" และอีกป้ายหนึ่งเขียนว่า "หยุด" ก่อนถึงทางรถไฟประมาณ 1 เมตร จำเลยไม่ได้หยุดรถและเมื่อเห็นรถไฟแล่นมาขณะอยู่ห่างประมาณ 30 เมตร จำเลยที่ 1 ได้เร่งเครื่องเพื่อให้พ้นแต่ไม่ทันจึงเป็นเหตุให้ชนกับรถไฟ เห็นว่าจำเลยละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร ตรงกันข้ามกลับฝ่าฝืนและเสี่ยงภัยอย่างชัดแจ้ง ตามพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความประมาทอย่างร้ายแรง กรณีถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ประมาทแต่ฝ่ายเดียว ที่โจทก์ไม่มีแผงกั้นทางขณะรถไฟแล่นผ่านที่เกิดเหตุไม่อาจถือได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วย ฎีกาจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนปัญหาว่าค่าเสียหายมีเพียงใดนั้น จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า ค่าเสียหายมากเกินสมควร เพราะฝ่ายโจทก์ได้เคยตกลงค่าเสียหายกับพนักงานสอบสวนตามบันทึกประจำวันเอกสารหมาย จ.2 ว่าโจทก์เสียหาย 50,000.00 บาทเห็นว่าตามเอกสารดังกล่าวเป็นเรื่องประเมินความเสียหายชั้นต้น แต่ค่าเสียหายที่แท้จริงจะต้องรอตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่อาจถือได้ว่าข้อความที่บันทึกไว้ในเอกสารนั้นเป็นค่าเสียหายที่แน่นอนแล้ว สำหรับข้อที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์คิดค่าเสียหายมากเกินไปผิดหลักที่ว่าค่าแรงจะไม่สูงกว่าค่าอะไหล่ ค่าขาดประโยชน์ก็เป็นเรื่องที่คาดการณ์ ปกติแล้วก็ไม่ได้เต็มตามที่โจทก์คิดเอาไว้และเรื่องค่าปั้นจั่นนั้น ปั้นจั่นก็เป็นของโจทก์ไม่น่าจะต้องเสียค่าจ้างอีก เห็นว่าโจทก์ได้มีระเบียบในการคิดค่าเสียหายไว้ใช้เป็นหลักในการคิดค่าเสียหาย ไม่ได้ใช้เฉพาะกรณีของจำเลยที่ 3 นี้เท่านั้น สำหรับค่าขาดประโยชน์นั้นโจทก์ก็ได้คิดเปรียบเทียบกับรถยนต์ว่าควรจะเป็นเท่าใด มีรายละเอียดที่พอเชื่อถือได้ สำหรับค่าปั้นจั่นนั้น แม้ปั้นจั่นจะเป็นของโจทก์แต่ก็ต้องมีการขนย้ายและเสียค่าใช้จ่าย เมื่อจำเลยที่ 1 ทำละเมิดก็ต้องรับผิดในความเสียหายดังกล่าว อนึ่ง จำเลยที่ 3 เคยให้ตัวแทนไปติดต่อกับโจทก์เรื่องค่าเสียหาย โจทก์ได้เคยแจ้งให้ทราบว่าค่าเสียหายต่ำสุดที่จำเลยที่ 3 จะต้องชำระนั้นเป็นจำนวน 92,670.00 บาท ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้โจทก์จำนวน 71,270.00 บาท จึงสมควรและเป็นคุณแก่จำเลยที่ 3 อยู่แล้วฎีกาจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

 พิพากษายืน


กฎหมายที่เกี่ยวข้อง :
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442

ผู้พิพากษา :
อุระ หวังอ้อมกลาง
เสริมพงศ์ วรยิ่งยง
เพ็ง เพ็งนิติ

 

ติดต่อทีมงานทนายอ้อได้ที่ ⬇️

Facebook        :https://www.facebook.com/share/1Bb1gYBdZc/?mibextid=wwXIfr

Tiktok               :https://www.tiktok.com/@lawyeraor

 Line                  :https://line.me/ti/p/NBw5dNkeFt

 เบอร์โทรศัพท์   : 081-755-5585 , 065-701-1441

 Website           :https://www.lawyer-aor.com/


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ