แชร์

แม้ผู้เอาประกันภัยผิดเงื่อนไขผู้รับประกันภัยไม่อาจปฏิเสธบุคคลภายนอก

อัพเดทล่าสุด: 12 ธ.ค. 2025
416 ผู้เข้าชม

แม้ผู้เอาประกันภัยผิดเงื่อนไขผู้รับประกันภัยไม่อาจปฏิเสธบุคคลภายนอก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1182/2526

คำพิพากษาย่อสั้น
 คำฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีละเมิดได้บรรยายชัดแจ้งพอสมควรว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไร ค่าเสียหายแต่ละรายการเป็นจำนวนเงินเท่าใดจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุมเพราะหลักฐานและรายละเอียดเกี่ยวกับค่าเสียหายเป็นเรื่องที่โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจารณา ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เดิม สามีเป็นผู้จัดการสินบริคณห์และมีสิทธิฟ้องคดีเกี่ยวกับการสงวนบำรุงรักษาหรือการใดๆ เพื่อประโยชน์แก่สินบริคณห์ โจทก์สมรสกับภริยาก่อนใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนในมูลละเมิดเพื่อความเสียหายที่เกิดแก่ทรัพย์สินอันเป็นการฟ้องคดีเพื่อประโยชน์แก่สินบริคณห์ได้ เพราะบทบัญญัติบรรพ 5 ที่ตรวจชำระใหม่ไม่กระทบกระเทือนถึงอำนาจจัดการสินบริคณห์ที่คู่สมรสได้มีอยู่แล้ว โจทก์จำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัดมือและเท้าอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้สามารถใช้การได้เป็นปกติแต่โจทก์กะประมาณค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดโดยปราศจากพยานสนับสนุนเป็นการพ้นวิสัยที่ศาลจะหยั่งรู้ได้แน่นอนความเสียหายมีเพียงใดศาลจึงมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้และสงวนสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษาภายในกำหนดเวลาใดเวลาหนึ่งได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 วรรคสอง จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยจะปฏิบัติผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยหรือไม่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยจะว่ากล่าวเอาแก่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นคู่สัญญาแต่จะยกเหตุดังกล่าวมาอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมีสิทธิได้รับประโยชน์ตามสัญญาระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 หาได้ไม่ เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยให้ลดค่าเสียหายซึ่งจำเลยที่ 2 จะต้องชดใช้ให้โจทก์น้อยลงและการชำระหนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้จึงมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้

คำพิพากษาย่อยาว
 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างชนรถจักรยานยนต์ซึ่งโจทก์ขับขี่ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสทรัพย์สินเสียหาย ทั้งนี้โดยความประมาทของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 900,219.44 บาท
 จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ขับรถไปในธุรกิจส่วนตัว ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากภริยา เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของโจทก์ฝ่ายเดียว ค่าเสียหายไม่มีจำนวนสูงถึงตามฟ้อง หากจำเลยที่ 3 รับผิดไม่เกินจำนวนเงินที่กำหนดในกรมธรรม์ประกันภัย ขอให้ยกฟ้อง
 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 848,664.46 บาท โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดเป็นเงิน 100,000.00 บาท พร้อมดอกเบี้ย

 จำเลยที่ 2 ที่ 3 อุทธรณ์
 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกา
 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องมาชัดแจ้งพอสมควรแล้วว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไรและค่าเสียหายแต่ละรายการเป็นจำนวนเงินเท่าใดส่วนหลักฐานและรายละเอียดเกี่ยวกับค่าเสียหายเป็นเรื่องที่โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจารณาคำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายจึงหาเคลือบคลุมไม่ที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากภริยาโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์สมรสกับภริยาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2519 ก่อนวันใช้บังคับบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ ซึ่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 7 บัญญัติว่า บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ไม่กระทบกระเทือนถึงอำนาจจัดการสินบริคณห์ที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มีอยู่แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม มาตรา 1468 และ 1469 สามีเป็นผู้จัดการสินบริคณห์และมีสิทธิฟ้องคดีเกี่ยวกับการสงวนบำรุงรักษาหรือการใดๆ เพื่อประโยชน์แก่สินบริคณห์ คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่โจทก์ถูกกรทำละเมิด แม้โจทก์จะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เกิดแก่รถจักรยานยนต์ อันเป็นการฟ้องคดีเพื่อประโยชน์แก่สินบริคณห์ด้วย โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง
ที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาว่า ค่าผ่าตัดภายหน้าเพื่อตกแต่งบาดแผลของโจทก์ซึ่งศาลล่างกำหนดให้ 50,000 บาท เป็นเพียงการคาดคะเนโดยปราศจากหลักฐานการใช้จ่าย บาดแผลอาจหายได้เองตามธรรมชาติ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยนั้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์จำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัดมือและเท้าอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้สามารถใช้การได้เป็นปกติ แต่ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดนั้น โจทก์เพียงกะประมาณเอาโดยปราศจากพยานสนับสนุน โจทก์จะเสียค่าใช้จ่ายเท่าใดย่อมแล้วแต่ว่าโจทก์จะเข้ารับการผ่าตัดในประเทศไทยหรือที่ประเทศออสเตรเลีย ถ้าหากผ่าตัดที่ประเทศออสเตรเลียโจทก์อาจไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย จึงเป็นการพ้นวิสัยที่ศาลจะหยั่งรู้ได้แน่ว่าความเสียหายนั้นมีแท้จริงเพียงใด ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้โจทก์เรียกได้ตามที่ใช้จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาท ตามคำขอของโจทก์ โดยสงวนสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษาภายในกำหนดเวลาสองปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 444 วรรคสอง ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 1.7 และ 1.9 กล่าวคือ มิได้นำใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยที่ 1 มาแสดงต่อจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้นเห็นว่า โจทก์เป็นบุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิได้รับประโยชน์ตามสัญญาระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 ถ้าหากจำเลยที่ 2 มิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 ได้รับความเสียหายประการใดก็ชอบที่จะว่ากล่าวเอาแก่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นคู่สัญญา จะอ้างมาเป็นเหตุปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหาได้ไม่
 แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียวและเป็นการกระทำในทางการที่จ้างจำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดด้วย รวมทั้งจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย ค่าเสียหายทั้งสิ้นเป็นเงิน 737,504.31 บาท และเนื่องจากค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์มีจำนวนลดน้อยลงและการชำระหนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ฎีกาศาลฎีกาก็เห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 ประกอบด้วยมาตรา 247
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 737,504.31 บาท และให้ร่วมกันใช้ค่าผ่าตัดภายหน้าเพื่อตกแต่งบาดแผลแก่โจทก์ตามที่โจทก์ใช้จ่ายไปจริงแต่ไม่เกิน 50,0000.00 บาท โดยศาลสงวนสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษาภายในกำหนดเวลาสองปีนับแต่วันพิพากษา ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 45,000.00 บาท และให้จำเลยทั้งสามเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินค่าเสียหายซึ่งตนจะต้องรับผิดนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1468 เดิม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469 เดิม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247

ผู้พิพากษา
ศักดิ์ สนองชาติ
นิยม ติวุตานนท์
ม.ร.ว.ชัยวัฒน์ ชมพูนุท

แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

 

ติดต่อทีมงานทนายอ้อได้ที่ ⬇️

Facebook        :https://www.facebook.com/share/1Bb1gYBdZc/?mibextid=wwXIfr

Tiktok               :https://www.tiktok.com/@lawyeraor

 Line                  :https://line.me/ti/p/NBw5dNkeFt

 เบอร์โทรศัพท์   : 081-755-5585 , 065-701-1441

 Website           :https://www.lawyer-aor.com/


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ