ถ้าผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิด ผู้รับประกันภัยค้ำจุนก็ไม่ต้องรับผิด 4
อัพเดทล่าสุด: 29 พ.ค. 2024
148 ผู้เข้าชม

ถ้าผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิด ผู้รับประกันภัยค้ำจุนก็ไม่ต้องรับผิด4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1264/2538
คำพิพากษาย่อสั้น
โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ทั้งหากจะได้ความว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของหรือผู้เช่าซื้อรถยนต์คันที่จำเลยที่1 ขับจริงแต่จำเลยที่ 2 ก็มิใช่ผู้ครอบครองรถยนต์ในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยจึง ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์จำเลยที่3 ผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดชอบด้วย
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2ค-9304 กรุงเทพมหานคร ใน ทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 6ฉ-3649 กรุงเทพมหานคร ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหายจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 31,334 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และ ที่ 3 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์เป็นจำนวน 26,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2532 เป็นต้น ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องไม่เกิน 1,668 บาท และให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาทจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ส่วนฎีกาข้อกฎหมายที่ว่า ข้อกำหนดในกรมธรรม์ประกันภัยตามเอกสาร หมาย จ. 3 ข้อ 2.8 จำกัดความรับผิดของผู้รับประกันภัยในกรณีที่ผู้ขับรถยนต์ที่เอาประกันภัย นำรถยนต์ไปขับโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยไม่รวมถึงการคุ้มครองทรัพย์สิน ของบุคคลภายนอกนั้น เห็นว่าตามข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังมาในส่วนที่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย ว่าข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ทั้งหากจะได้ความว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของหรือผู้เช่าซื้อรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับจริงแต่จำเลยที่ 2 ก็หาใช่ผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ การที่ กรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ. 3 ระบุไว้ในสัญญาหมวดที่ 2 การคุ้มครองความรับผิดต่อ บุคคลภายนอกข้อ 2.8 การคุ้มครองผู้ขับขี่ที่มีข้อความว่า "บริษัทจะถือว่าบุคคลใดซึ่งขับขี่ รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง แต่มี เงื่อนไขว่า ฯลฯ" นั้นหมายถึง การคุ้มครองเมื่อมีอันตรายแก่ชีวิตและร่างกาย ผู้ขับรถยนต์คัน ที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัยไว้ต่อเมื่อผู้ขับได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเท่านั้น ส่วน ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ระบุไว้ใน ข้อ 2.1 ถึง 2.3 มีใจความว่าบริษัทจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย เพื่อความเสียหายที่เกิดแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน ของบุคคลภายนอกตามกรมธรรม์ประกันภัย เมื่อข้อเท็จจริงในคดีเป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบ จำเลย ที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้อง สำหรับจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887
ผู้พิพากษา
ธวัชชัย พิทักษ์ผล
สมาน เวทวินิจ
ชลอ บุณยเนตร
แหล่งที่มา: สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1264/2538
คำพิพากษาย่อสั้น
โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ทั้งหากจะได้ความว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของหรือผู้เช่าซื้อรถยนต์คันที่จำเลยที่1 ขับจริงแต่จำเลยที่ 2 ก็มิใช่ผู้ครอบครองรถยนต์ในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยจึง ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์จำเลยที่3 ผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดชอบด้วย
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2ค-9304 กรุงเทพมหานคร ใน ทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 6ฉ-3649 กรุงเทพมหานคร ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหายจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 31,334 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และ ที่ 3 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์เป็นจำนวน 26,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2532 เป็นต้น ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องไม่เกิน 1,668 บาท และให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาทจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ส่วนฎีกาข้อกฎหมายที่ว่า ข้อกำหนดในกรมธรรม์ประกันภัยตามเอกสาร หมาย จ. 3 ข้อ 2.8 จำกัดความรับผิดของผู้รับประกันภัยในกรณีที่ผู้ขับรถยนต์ที่เอาประกันภัย นำรถยนต์ไปขับโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยไม่รวมถึงการคุ้มครองทรัพย์สิน ของบุคคลภายนอกนั้น เห็นว่าตามข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังมาในส่วนที่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย ว่าข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ทั้งหากจะได้ความว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของหรือผู้เช่าซื้อรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับจริงแต่จำเลยที่ 2 ก็หาใช่ผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ การที่ กรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ. 3 ระบุไว้ในสัญญาหมวดที่ 2 การคุ้มครองความรับผิดต่อ บุคคลภายนอกข้อ 2.8 การคุ้มครองผู้ขับขี่ที่มีข้อความว่า "บริษัทจะถือว่าบุคคลใดซึ่งขับขี่ รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง แต่มี เงื่อนไขว่า ฯลฯ" นั้นหมายถึง การคุ้มครองเมื่อมีอันตรายแก่ชีวิตและร่างกาย ผู้ขับรถยนต์คัน ที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัยไว้ต่อเมื่อผู้ขับได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเท่านั้น ส่วน ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ระบุไว้ใน ข้อ 2.1 ถึง 2.3 มีใจความว่าบริษัทจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย เพื่อความเสียหายที่เกิดแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน ของบุคคลภายนอกตามกรมธรรม์ประกันภัย เมื่อข้อเท็จจริงในคดีเป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบ จำเลย ที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้อง สำหรับจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887
ผู้พิพากษา
ธวัชชัย พิทักษ์ผล
สมาน เวทวินิจ
ชลอ บุณยเนตร
แหล่งที่มา: สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
บทความที่เกี่ยวข้อง


