การเรียกร้องเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตาม ม.57(3) ต้องกระทำภายใน 2 ปีด้วย
อัพเดทล่าสุด: 29 พ.ค. 2024
90 ผู้เข้าชม
การเรียกร้องเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตาม ม.57(3) ต้องกระทำภายใน 2 ปีด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5783/2540
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยได้ขอให้ศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยให้ใช้ค่าทดแทนหากจำเลยแพ้คดีตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนระหว่างจำเลยกับจำเลยร่วม จึงเป็นกรณีที่จำเลยในฐานะผู้เอาประกันประสงค์จะเรียกให้จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ตามสัญญา จึงต้องฟ้องหรือหมายเรียกให้จำเลยร่วมเข้ามาในคดีภายในกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่เกิดวินาศภัย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นอายุความฟ้องบังคับตามสัญญาประกันภัยมาใช้บังคับ และกรณีมิใช่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยร่วมให้รับผิดในมูลละเมิดที่กระทำต่อโจทก์จึงไม่อาจนำอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับดังนั้น เมื่อเกิดเหตุวินาศภัยวันที่ 22 มีนาคม 2534 จำเลยได้หมายเรียกจำเลยร่วมเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนวันที่ 22 มีนาคม 2536 ภายในกำหนด 2 ปี คดีของจำเลยย่อมไม่ขาดอายุความ และเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้วันที่ 26 มิถุนายน 2534 โดยมูลละเมิดระหว่างโจทก์และจำเลยเกิดวันที่ 22 มีนาคม 2534 ยังอยู่ในอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448 วรรคหนึ่ง คดีจึงไม่ขาดอายุความ การที่จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อนได้หมายเรียกจำเลยร่วมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคราวก่อน แต่จำเลยได้ถอนฟ้องคดีดังกล่าวไปก่อนที่ศาลชั้นต้นจะได้มีคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยชี้ขาดหรือในประเด็นข้อใดแห่งคดีนั้น แม้จำเลยจะได้เรียกให้จำเลยร่วมเข้ามาร่วมรับผิดในคดีนี้เป็นครั้งที่สองก็ตาม การกระทำของจำเลยก็หาเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคหนึ่งไม่ ประกอบกับในคดีก่อนโจทก์ในคดีนี้ก็หาได้ยื่นคำฟ้องจำเลยร่วมเป็น จำเลยร่วมมาแต่ต้นไม่ ทั้งศาลก็ยังมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วในประเด็นแห่งคดี เพราะจำเลยได้ถอนฟ้องไปก่อนคดีในส่วนของโจทก์ทั้งสองและจำเลยร่วมจึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5152 นครปฐม โจทก์ที่ 2 เป็นลูกจ้างโจทก์ที่ 1 จำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-9157 ราชบุรี นายสำลีญาติมาก เป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2534 เวลาประมาณ 1 นาฬิกา โจทก์ที่ 2 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5152 นครปฐม ของโจทก์ที่ 1 เพื่อนำอ้อยไปส่งโรงงานที่อำเภอบ้านโป่งจังหวัดราชบุรี ตามคำสั่งของโจทก์ที่ 1 ด้วยความประมาทเลินเล่อกล่าวคือขับรถมาด้วยความเร็วสูงขณะมึนเมาสุรา รถยนต์แล่นส่ายไปมาและล้ำเข้าไปในช่องเดินรถของโจทก์ที่ 2 แล้วชนรถยนต์ที่โจทก์ที่ 2 ขับอย่างแรงในช่องเดินรถของโจทก์ที่ 2 หลังเกิดเหตุรถยนต์ของโจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหาย โจทก์ที่ 2 ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 549,965 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสองจำเลยให้การว่า เหตุแห่งการละเมิดเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ฝ่ายเดียว ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณาจำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด เข้าร่วมเป็นจำเลยศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า เหตุละเมิดเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ที่ 2 ผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5152 นครปฐม ของโจทก์ที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว จำเลยร่วมเคยขอรวมพิจารณาคดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 903/2534 ของศาลจังหวัดนครปฐม ซึ่งโจทก์ในคดีดังกล่าวได้ขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้าเป็นคู่ความร่วมกับโจทก์ คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วเพราะโจทก์ไม่ประสงค์ดำเนินคดีแก่จำเลย จึงได้ถอนฟ้องการที่จำเลยขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีนี้อีกถือว่าเป็นการเรียกซ้ำที่จำเลยเรียกจำเลยร่วมให้มารับผิดในคดีนี้เกิน 1 ปี นับแต่วันละเมิด คดีจึงขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้องและยกคำร้องของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 474,465 บาท แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 30,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยร่วมรับผิดร่วมกับจำเลยชำระเงินจำนวน 30,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีการะหว่างโจทก์ที่ 2 จำเลยและจำเลยร่วมไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงมาว่าเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2534 เวลาประมาณ 1 นาฬิกา รถยนต์ของโจทก์ที่ 1 ซึ่งมีโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ขับชนกับรถยนต์ของจำเลยโดยมีนายสำลีญาติมาก ลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยเป็นผู้ขับซึ่งได้เอาประกันภัยไว้แก่จำเลยร่วม หลังเกิดเหตุโจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ศาลชั้นต้น และจำเลยฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ทั้งสองที่ศาลจังหวัดนครปฐม คดีของศาลชั้นต้นคดีนี้ได้ส่งไปรวมการพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดนครปฐม ระหว่างการพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดนครปฐม จำเลยได้หมายเรียกให้จำเลยร่วมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีและต่อมาจำเลยขอถอนฟ้องต่อศาลจังหวัดนครปฐมศาลจังหวัดนครปฐมอนุญาตให้ถอนฟ้องตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1179/2535 ของศาลจังหวัดนครปฐมและโอนคดีนี้กลับมาพิจารณาต่อที่ศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ 22 มีนาคม 2536 จำเลยได้ขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีเพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ย ศาลชั้นต้นอนุญาต ทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่าเหตุละเมิดคดีนี้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายสำลีผู้ขับรถยนต์ของจำเลยโดยดื่มสุราขณะขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยชนรถยนต์ของโจทก์ที่ 1 เสียหายมากเป็นเงินจำนวน474,465 บาท กับโจทก์ที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส โดยกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 30,500 บาท และให้จำเลยกับจำเลยร่วมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 ดังกล่าว
จำเลยร่วมฎีกาปัญหาข้อกฎหมายข้อแรกว่า ความรับผิดของจำเลยร่วมที่มีต่อจำเลยย่อมขาดอายุความแล้ว จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 ด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้ขอให้ศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยให้ใช้ค่าทดแทนหากจำเลยแพ้คดี ตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนระหว่างจำเลยกับจำเลยร่วมตามตารางกรมธรรม์เอกสารหมาย ล.ร.2 จึงเป็นกรณีที่จำเลยในฐานะผู้เอาประกันประสงค์จะเรียกให้จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ตามสัญญา ก็จะต้องฟ้องหรือหมายเรียกให้จำเลยร่วมเข้ามาในคดีภายในกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่เกิดวินาศภัย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นอายุความฟ้องบังคับตามสัญญาประกันภัยมาใช้บังคับ และกรณีมิใช่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยร่วมให้รับผิดในมูลละเมิดที่กระทำต่อโจทก์ จึงไม่อาจนำอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับดังนั้น เมื่อเกิดเหตุวินาศภัยวันที่ 22 มีนาคม 2534 จำเลยได้หมายเรียกจำเลยร่วมเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนวันที่ 22 มีนาคม 2536 ภายในกำหนด 2 ปี คดีของจำเลยย่อมไม่ขาดอายุความ อนึ่งโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยคดีนี้วันที่ 26 มิถุนายน 2534 โดยมูลละเมิดระหว่างโจทก์และจำเลยเกิดวันที่ 22 มีนาคม 2534 ยังอยู่ในอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง คดีจึงไม่ขาดอายุความเช่นกัน ดังนั้น จำเลยร่วมจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยต่อโจทก์ที่ 2 ด้วย
จำเลยร่วมฎีกาปัญหาข้อกฎหมายข้อต่อมาว่า การที่จำเลยได้เป็นโจทก์ฟ้องคดีที่ศาลจังหวัดนครปฐมแล้วจำเลยได้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในคดีครั้งหนึ่งแล้ว แต่จำเลยได้ขอถอนฟ้องคดีดังกล่าว เมื่อคดีนี้กลับมาพิจารณาที่ศาลชั้นต้นอีก จำเลยได้เรียกให้จำเลยร่วมเข้ามาร่วมรับผิดในมูลละเมิดคดีนี้เป็นครั้งที่สอง จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ และเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยได้หมายเรียกจำเลยร่วมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคราวก่อน แต่จำเลยได้ถอนฟ้องคดีดังกล่าวไปก่อนที่ศาลจังหวัดนครปฐมจะได้มีคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นข้อใดแห่งคดีนั้นแม้จำเลยจะได้เรียกให้จำเลยร่วมเข้ามาร่วมรับผิดในคดีนี้เป็นครั้งที่สองก็ตามการกระทำของจำเลยก็หาเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคหนึ่งไม่จำเลยจึงมีสิทธิขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาร่วมรับผิดกับจำเลยในคดีนี้ได้ ประกอบกับในคดีดังกล่าวโจทก์ทั้งสองในคดีนี้ก็หาได้ยื่นคำฟ้องจำเลยร่วมเป็นจำเลยร่วมมาแต่ต้นไม่ ทั้งศาลก็ยังมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วในประเด็นแห่งคดี เพราะจำเลยได้ถอนฟ้องไปก่อน คดีในส่วนของโจทก์ทั้งสองและจำเลยร่วมจึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 อีกด้วย
พิพากษายืน
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175
ผู้พิพากษา
ประกาศ บูรพางกูร
ปรีชา เฉลิมวณิชย์
บุญธรรม อยู่พุก
แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5783/2540
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยได้ขอให้ศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยให้ใช้ค่าทดแทนหากจำเลยแพ้คดีตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนระหว่างจำเลยกับจำเลยร่วม จึงเป็นกรณีที่จำเลยในฐานะผู้เอาประกันประสงค์จะเรียกให้จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ตามสัญญา จึงต้องฟ้องหรือหมายเรียกให้จำเลยร่วมเข้ามาในคดีภายในกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่เกิดวินาศภัย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นอายุความฟ้องบังคับตามสัญญาประกันภัยมาใช้บังคับ และกรณีมิใช่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยร่วมให้รับผิดในมูลละเมิดที่กระทำต่อโจทก์จึงไม่อาจนำอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับดังนั้น เมื่อเกิดเหตุวินาศภัยวันที่ 22 มีนาคม 2534 จำเลยได้หมายเรียกจำเลยร่วมเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนวันที่ 22 มีนาคม 2536 ภายในกำหนด 2 ปี คดีของจำเลยย่อมไม่ขาดอายุความ และเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้วันที่ 26 มิถุนายน 2534 โดยมูลละเมิดระหว่างโจทก์และจำเลยเกิดวันที่ 22 มีนาคม 2534 ยังอยู่ในอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448 วรรคหนึ่ง คดีจึงไม่ขาดอายุความ การที่จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อนได้หมายเรียกจำเลยร่วมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคราวก่อน แต่จำเลยได้ถอนฟ้องคดีดังกล่าวไปก่อนที่ศาลชั้นต้นจะได้มีคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยชี้ขาดหรือในประเด็นข้อใดแห่งคดีนั้น แม้จำเลยจะได้เรียกให้จำเลยร่วมเข้ามาร่วมรับผิดในคดีนี้เป็นครั้งที่สองก็ตาม การกระทำของจำเลยก็หาเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคหนึ่งไม่ ประกอบกับในคดีก่อนโจทก์ในคดีนี้ก็หาได้ยื่นคำฟ้องจำเลยร่วมเป็น จำเลยร่วมมาแต่ต้นไม่ ทั้งศาลก็ยังมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วในประเด็นแห่งคดี เพราะจำเลยได้ถอนฟ้องไปก่อนคดีในส่วนของโจทก์ทั้งสองและจำเลยร่วมจึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5152 นครปฐม โจทก์ที่ 2 เป็นลูกจ้างโจทก์ที่ 1 จำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-9157 ราชบุรี นายสำลีญาติมาก เป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2534 เวลาประมาณ 1 นาฬิกา โจทก์ที่ 2 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5152 นครปฐม ของโจทก์ที่ 1 เพื่อนำอ้อยไปส่งโรงงานที่อำเภอบ้านโป่งจังหวัดราชบุรี ตามคำสั่งของโจทก์ที่ 1 ด้วยความประมาทเลินเล่อกล่าวคือขับรถมาด้วยความเร็วสูงขณะมึนเมาสุรา รถยนต์แล่นส่ายไปมาและล้ำเข้าไปในช่องเดินรถของโจทก์ที่ 2 แล้วชนรถยนต์ที่โจทก์ที่ 2 ขับอย่างแรงในช่องเดินรถของโจทก์ที่ 2 หลังเกิดเหตุรถยนต์ของโจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหาย โจทก์ที่ 2 ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 549,965 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสองจำเลยให้การว่า เหตุแห่งการละเมิดเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ฝ่ายเดียว ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณาจำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด เข้าร่วมเป็นจำเลยศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า เหตุละเมิดเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ที่ 2 ผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5152 นครปฐม ของโจทก์ที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว จำเลยร่วมเคยขอรวมพิจารณาคดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 903/2534 ของศาลจังหวัดนครปฐม ซึ่งโจทก์ในคดีดังกล่าวได้ขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้าเป็นคู่ความร่วมกับโจทก์ คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วเพราะโจทก์ไม่ประสงค์ดำเนินคดีแก่จำเลย จึงได้ถอนฟ้องการที่จำเลยขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีนี้อีกถือว่าเป็นการเรียกซ้ำที่จำเลยเรียกจำเลยร่วมให้มารับผิดในคดีนี้เกิน 1 ปี นับแต่วันละเมิด คดีจึงขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้องและยกคำร้องของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 474,465 บาท แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 30,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยร่วมรับผิดร่วมกับจำเลยชำระเงินจำนวน 30,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีการะหว่างโจทก์ที่ 2 จำเลยและจำเลยร่วมไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงมาว่าเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2534 เวลาประมาณ 1 นาฬิกา รถยนต์ของโจทก์ที่ 1 ซึ่งมีโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ขับชนกับรถยนต์ของจำเลยโดยมีนายสำลีญาติมาก ลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยเป็นผู้ขับซึ่งได้เอาประกันภัยไว้แก่จำเลยร่วม หลังเกิดเหตุโจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ศาลชั้นต้น และจำเลยฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ทั้งสองที่ศาลจังหวัดนครปฐม คดีของศาลชั้นต้นคดีนี้ได้ส่งไปรวมการพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดนครปฐม ระหว่างการพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดนครปฐม จำเลยได้หมายเรียกให้จำเลยร่วมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีและต่อมาจำเลยขอถอนฟ้องต่อศาลจังหวัดนครปฐมศาลจังหวัดนครปฐมอนุญาตให้ถอนฟ้องตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1179/2535 ของศาลจังหวัดนครปฐมและโอนคดีนี้กลับมาพิจารณาต่อที่ศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ 22 มีนาคม 2536 จำเลยได้ขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีเพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ย ศาลชั้นต้นอนุญาต ทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่าเหตุละเมิดคดีนี้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายสำลีผู้ขับรถยนต์ของจำเลยโดยดื่มสุราขณะขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยชนรถยนต์ของโจทก์ที่ 1 เสียหายมากเป็นเงินจำนวน474,465 บาท กับโจทก์ที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส โดยกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 30,500 บาท และให้จำเลยกับจำเลยร่วมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 ดังกล่าว
จำเลยร่วมฎีกาปัญหาข้อกฎหมายข้อแรกว่า ความรับผิดของจำเลยร่วมที่มีต่อจำเลยย่อมขาดอายุความแล้ว จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 ด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้ขอให้ศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยให้ใช้ค่าทดแทนหากจำเลยแพ้คดี ตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนระหว่างจำเลยกับจำเลยร่วมตามตารางกรมธรรม์เอกสารหมาย ล.ร.2 จึงเป็นกรณีที่จำเลยในฐานะผู้เอาประกันประสงค์จะเรียกให้จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ตามสัญญา ก็จะต้องฟ้องหรือหมายเรียกให้จำเลยร่วมเข้ามาในคดีภายในกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่เกิดวินาศภัย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นอายุความฟ้องบังคับตามสัญญาประกันภัยมาใช้บังคับ และกรณีมิใช่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยร่วมให้รับผิดในมูลละเมิดที่กระทำต่อโจทก์ จึงไม่อาจนำอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับดังนั้น เมื่อเกิดเหตุวินาศภัยวันที่ 22 มีนาคม 2534 จำเลยได้หมายเรียกจำเลยร่วมเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนวันที่ 22 มีนาคม 2536 ภายในกำหนด 2 ปี คดีของจำเลยย่อมไม่ขาดอายุความ อนึ่งโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยคดีนี้วันที่ 26 มิถุนายน 2534 โดยมูลละเมิดระหว่างโจทก์และจำเลยเกิดวันที่ 22 มีนาคม 2534 ยังอยู่ในอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง คดีจึงไม่ขาดอายุความเช่นกัน ดังนั้น จำเลยร่วมจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยต่อโจทก์ที่ 2 ด้วย
จำเลยร่วมฎีกาปัญหาข้อกฎหมายข้อต่อมาว่า การที่จำเลยได้เป็นโจทก์ฟ้องคดีที่ศาลจังหวัดนครปฐมแล้วจำเลยได้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในคดีครั้งหนึ่งแล้ว แต่จำเลยได้ขอถอนฟ้องคดีดังกล่าว เมื่อคดีนี้กลับมาพิจารณาที่ศาลชั้นต้นอีก จำเลยได้เรียกให้จำเลยร่วมเข้ามาร่วมรับผิดในมูลละเมิดคดีนี้เป็นครั้งที่สอง จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ และเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยได้หมายเรียกจำเลยร่วมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคราวก่อน แต่จำเลยได้ถอนฟ้องคดีดังกล่าวไปก่อนที่ศาลจังหวัดนครปฐมจะได้มีคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นข้อใดแห่งคดีนั้นแม้จำเลยจะได้เรียกให้จำเลยร่วมเข้ามาร่วมรับผิดในคดีนี้เป็นครั้งที่สองก็ตามการกระทำของจำเลยก็หาเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคหนึ่งไม่จำเลยจึงมีสิทธิขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาร่วมรับผิดกับจำเลยในคดีนี้ได้ ประกอบกับในคดีดังกล่าวโจทก์ทั้งสองในคดีนี้ก็หาได้ยื่นคำฟ้องจำเลยร่วมเป็นจำเลยร่วมมาแต่ต้นไม่ ทั้งศาลก็ยังมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วในประเด็นแห่งคดี เพราะจำเลยได้ถอนฟ้องไปก่อน คดีในส่วนของโจทก์ทั้งสองและจำเลยร่วมจึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 อีกด้วย
พิพากษายืน
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175
ผู้พิพากษา
ประกาศ บูรพางกูร
ปรีชา เฉลิมวณิชย์
บุญธรรม อยู่พุก
แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
บทความที่เกี่ยวข้อง