สิทธิฟ้องของ พ. มีอายุความ1ปี โจทก์ผู้รับช่วงสิทธิของ พ. จึงย่อมมีอายุความ1ปี
สิทธิฟ้องของ พ. มีอายุความ1ปี โจทก์ผู้รับช่วงสิทธิของ พ. จึงย่อมมีอายุความ 1 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1949/2542
คำพิพากษาย่อสั้น
ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลย ในข้อหาความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 56 , 152 เจ้าของรถยนต์ที่จำเลยขับชนได้รับความเสียหายย่อมมิใช่ผู้เสียหายในข้อหาความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 56 , 152 รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย เจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีอาญาดังกล่าว และถือไม่ได้ว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีแทนเจ้าของรถยนต์ ดังนี้ การที่เจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุเป็นโจทก์ฟ้องคดีเอง ย่อมมิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 ในอันที่จะนำอายุความในทางอาญาที่ยาวกว่ามาใช้บังคับตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง ต้องใช้อายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง โจทก์ผู้รับประกันภัยรถยนต์จาก พ. เจ้าของรถยนต์ที่ถูกจำเลยขับชนได้ซ่อมรถยนต์ให้ พ. ผู้เอาประกันภัยแล้วจึงชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่ พ. มีอยู่ในมูลหนี้ต่อจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรคหนึ่งประกอบมาตรา 226 วรรคหนึ่ง เมื่อสิทธิของ พ.ที่จะฟ้องคดีนี้มีกำหนดอายุความ 1 ปี โจทก์ผู้รับช่วงสิทธิของ พ. จึงย่อมมีอายุความ 1 ปี เช่นเดียวกัน ดังนี้ แม้โจทก์เพิ่งรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนว่าเป็นจำเลย เมื่อพนักงานอัยการฟ้องจำเลยต่อศาลในคดีอาญาเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2535 แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2536 จึงล่วงพ้นกำหนด 1 ปีแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง ในกรณีเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิด การกระทำละเมิดนั้นต้องเป็นความผิดอาญาด้วย ฉะนั้น ผู้ที่ถูกกระทำละเมิดที่จะได้รับประโยชน์ตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงต้องเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ในความผิดอาญาที่ผู้กระทำละเมิดได้กระทำต่อผู้ถูกกระทำละเมิด
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ส่วนจำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกเลขทะเบียน 83-1798 กรุงเทพมหานคร และรถพ่วงหมายเลขทะเบียน 83-8746 กรุงเทพมหานคร จากจำเลยที่ 2 และที่ 3 โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 4ฉ-4983 กรุงเทพมหานคร จากนายไพศาล เทียนอุดม เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2534 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกและรถพ่วงดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เมื่อถึงบริเวณที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1 จอดรถโดยไม่จัดให้มีแสงไฟและเครื่องหมายแสดงแก่รถยนต์คันอื่นให้เห็นว่ารถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับจอดอยู่ตามที่กฎหมายกำหนด นายสวาท ก้อนมณี ขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไปตามถนนดังกล่าวในทิศทางเดียวกันเป็นเหตุให้รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยชนท้ายรถพ่วงดังกล่าว นายสวาทถึงแก่ความตายและรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยเสียหายหลายรายการ พนักงานอัยการจังหวัดสีคิ้วฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีอาญาในข้อหาความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก ต่อมาวันที่ 11 สิงหาคม 2536 ศาลจังหวัดสีคิ้วมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้องให้ลงโทษในข้อหาความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายอันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 1 ปี โจทก์ได้ซ่อมรถยนต์ที่รับประกันภัยให้อยู่ในสภาพเดิมสิ้นเงินไป 358,140.00 บาท จึงรับช่วงสิทธิตามกฎหมายมาฟ้องเป็นคดีนี้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 382,015.00 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 358,140.00 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 268,605.00 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ได้รับช่วงสิทธิ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 4ฉ-4983 กรุงเทพมหานคร จากนายไพศาล เทียนอุดม มีกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2534 ถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2535 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2534 เวลาประมาณ 2 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 83-1798 กรุงเทพมหานคร และรถพ่วงหมายเลขทะเบียน 83-8746 กรุงเทพมหานคร ไปตามถนนธนรัชต์ มุ่งหน้าไปทางเขาใหญ่ ครั้นขับถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 4 เครื่องยนต์ของรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับขัดข้อง รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับจึงจอดอยู่บนถนนดังกล่าว ครั้นเวลา 23 นาฬิกา นายสวาท ก้อนมณี ขับรถยนต์ของนายไพศาลที่โจทก์รับประกันภัยไปตามถนนดังกล่าวมุ่งหน้าไปทางเขาใหญ่ เมื่อนายสวาทขับรถยนต์ถึงที่จำเลยที่ 1 จอดรถยนต์บรรทุกไว้ได้ชนท้ายรถพ่วงที่จำเลยที่ 3 จอดดังกล่าวเป็นเหตุให้นายสวาทถึงแก่ความตายและรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยเสียหายพนักงานอัยการจังหวัดสีคิ้วได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลจังหวัดสีคิ้วเป็นคดีอาญาในข้อความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และความผิดฐานจอดรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับพร้อมรถพ่วง ซึ่งเครื่องยนต์ของรถขัดข้องในทางเดินรถในลักษณะที่กีดขวางการจราจร และจำเลยที่ 1 ไม่แสดงเครื่องหมายหรือสัญญาณตามลักษณะและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 849/2536 คดีอาญาดังกล่าวเสร็จเด็ดขาดโดยศาลจังหวัดสีคิ้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษในข้อความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 คงจำคุก 1 ปี
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ขาดอายุความหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ไม่ขาดอายุความเพราะเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ต้องนำอายุความทางอาญาที่ยาวกว่ามาใช้บังคับ เห็นว่า ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 849/2536 ของศาลจังหวัดสีคิ้วที่พนักงานอัยการจังหวัดสีคิ้วฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายสวาทถึงแก่ความตายและความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 56,152 นั้น นายไพศาล เทียนอุดม เจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 4ฉ-4983 กรุงเทพมหานคร ไม่ใช่ผู้เสียหายในข้อหาความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายสวาทถึงแก่ความตาย ส่วนข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 56, 152 รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย ดังนี้ นายไพศาลเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 4ฉ-4983 กรุงเทพมหานคร จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีอาญาดังกล่าวและถือไม่ได้ว่าพนักงานอัยการจังหวัดสีคิ้วฟ้องคดีแทนนายไพศาล ดังนั้น แม้นายไพศาลจะเป็นโจทก์ฟ้องคดีเองก็มิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 ในอันที่จะนำอายุความในทางอาญาที่ยาวกว่ามาใช้บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง ต้องใช้อายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยรถยนต์จากนายไพศาลได้ซ่อมรถยนต์ให้นายไพศาลผู้เอาประกันภัยแล้ว จึงชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่นายไพศาลมีอยู่ในมูลหนี้ต่อจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 226 วรรคหนึ่ง เมื่อสิทธิของนายไพศาลที่จะฟ้องคดีนี้มีกำหนดอายุความ 1 ปี โจทก์ผู้รับช่วงสิทธิของนายไพศาลจึงย่อมมีอายุความ 1 ปีเช่นเดียวกัน แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ว่า โจทก์รู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนว่า เป็นจำเลยที่ 1 เมื่อพนักงานอัยการจังหวัดสีคิ้วฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลจังหวัดสีคิ้วเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2535 กับได้ความทางนำสืบของโจทก์ว่า โจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดก่อนหน้านั้น โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2536 ฉะนั้น นับแต่วันที่ 9 มกราคม 2535 ถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงล่วงพ้นกำหนด 1 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ
ที่โจทก์ฎีกาว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง มิได้บัญญัติว่าผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากบทบัญญัติดังกล่าวต้องเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสองบัญญัติว่า "แต่ถ้าเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ฯลฯ" ซึ่งมีความหมายว่าในกรณีเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิดและการกระทำละเมิดนั้นเป็นความผิดอาญาด้วย ฉะนั้น ผู้ที่ถูกกระทำละเมิดที่จะได้รับประโยชน์ตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงต้องเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ในความผิดอาญาที่ผู้กระทำละเมิดได้กระทำต่อผู้ถูกกระทำละเมิด
พิพากษายืน
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51
ผู้พิพากษา
อภิศักดิ์ พรวชิราภา
กนก พรรณรักษา
วิชา มั่นสกุล
แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา