ต้องมีการโอนวัตถุที่เอาประกันก่อนที่จะเกิดวินาศภัย 1

ต้องมีการโอนวัตถุที่เอาประกันก่อนที่จะเกิดวินาศภัย 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2427/2527
คำพิพากษาย่อสั้น
การที่โจทก์ที่ 2 เข้าทำสัญญารับรองการเช่าซื้อของโจทก์ที่ 1 โดยในกรณีที่โจทก์ที่ 1 ผิดสัญญา โจทก์ที่ 2 จะต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์รถที่เอาประกันภัยมาเป็นของโจทก์ที่ 2 นั้น เป็นการรับโอนสิทธิเรียกร้องอันมีอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์ที่ 1 มีต่อผู้ให้เช่าซื้อมาเป็นของโจทก์ที่ 2 เท่านั้น หาได้รวมไปถึงสิทธิเรียกร้องที่โจทก์ที่ 1 มีต่อ จำเลยที่ 3 ตามสัญญาประกันภัยด้วยไม่ เพราะเป็นสัญญาอีกฉบับหนึ่งแยกต่างหากจากสัญญาเช่าซื้อ ขณะเกิดวินาศภัยแก่รถที่เอาประกันภัย โจทก์ที่ 1 ยังอยู่ในฐานะเป็นผู้เช่าซื้อ สิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าสินไหมทดแทนในเหตุวินาศภัยย่อมเป็นของโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยที่จะเรียกร้องจากจำเลยที่ 3 การที่โจทก์ที่ 2 จะใช้สิทธิเรียกร้องนี้ได้ก็แต่โดยโจทก์ที่ 1 โอนสิทธิเรียกร้องนั้นให้แก่โจทก์ที่ 2 เท่านั้น และกรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 875 เพราะโจทก์ที่ 2 ได้รับโอนรถที่เอาประกันภัยมาภายหลังที่ความวินาศภัยได้เกิดขึ้นแล้ว สิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัย ย่อมไม่โอนตามไป โจทก์ที่ 1 ที่ 2 เป็นฝ่ายนำสืบก่อน โจทก์ที่ 1 ขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยมิได้สั่งจำหน่ายคดีของโจทก์ที่ 1 ย่อมถือได้ว่าเป็นการพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้คัดค้านจนศาลชั้นต้นสืบพยานทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นและวินิจฉัยชี้ขาดคดีไปแล้วจึงล่วงเลยเวลาที่จะคัดค้าน กรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งจำหน่ายคดีโจทก์ที่ 1 แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 จำเลยจึงหมด สิทธิที่จะยกข้อคัดค้านเรื่องนี้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกา ตามกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์รวมทั้งอุปกรณ์ติดประจำเนื่องจากการชนที่เกิดขึ้นระหว่างระยะเวลาประกันภัยย่อมหมายความว่า ความเสียหายที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดมีเฉพาะแต่ความเสียหายต่อตัวรถและอุปกรณ์ เท่านั้น ความเสียหายเนื่องจากขาดรายได้ประจำวันมิใช่ความเสียหายต่อตัวรถและอุปกรณ์ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่โจทก์ที่ 1
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน น.ฐ.22715 มาจากบริษัท เชสแมน ฮัตตัน อินเวสต์เมนต์ (ประเทศไทย) จำกัด โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ติดต่อให้โจทก์ที่ 1 เช่าซื้อรถดังกล่าว โดยมีสัญญากันว่าถ้าโจทก์ที่ 1 ผิดสัญญาโจทก์ที่ 2 จะต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างทั้งหมด พร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าเสียหายให้แก่บริษัทดังกล่าวทันทีและรับโอนกรรมสิทธิ์และผลประโยชน์ต่างๆ ซึ่งมีอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อรวมทั้งกรรมสิทธิ์ในรถยนต์มาเป็นของโจทก์ที่ 2 ด้วย
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.บ.06509 และเป็นนายจ้างของนายวงค์ ซึ่งเป็นผู้ขับรถของจำเลยทั้งสองและเป็นผู้ทำละเมิดคดีนี้ จำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน น.ฐ.22715 ไว้จากโจทก์ที่ 1 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2521 นายวงค์ ลูกจ้างจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.บ.06509 ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตามถนนสายจอมบึง - ราชบุรี มุ่งหน้าไปทางถ้ำจอมพล ด้วยความประมาทเป็นเหตุให้รถเสียหลักพุ่งเข้าชนรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน น.ฐ.22715 ซึ่งนายวีระบุตรโจทก์ที่ 1 ขับเสียหายหลายรายการคิดเป็นเงิน 189,357.29 บาท จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน น.ฐ.22715 จะต้องใช้ค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์ที่ 1 เจ้าของรถและร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิจากเจ้าของเดิมด้วย จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.บ.06509 เพราะได้ให้จำเลยที่ 2 เช่าซื้อไปแล้ว นายวงค์มิใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 1 แต่เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 โจทก์ที่ 2 ไม่มีอำนาจฟ้อง ค่าเสียหายมากเกินกว่าเหตุ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในรถยนต์หมายเลขทะเบียน น.ฐ.22715 และไม่ได้เสียค่าซ่อมจึงไม่เสียหาย โจทก์ที่ 1 ไม่ใช่เจ้าของรถดังกล่าว ในขณะเอาประกันภัยและขณะเกิดเหตุ กรมธรรม์ประกันภัยจึงตกเป็นโมฆะโจทก์ที่ 2 ก็ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ที่เอาประกันภัยและไม่ใช่ผู้เอาประกันภัยกับจำเลยที่ 3 จะบังคับตามสัญญาประกันภัยไม่ได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหาย 12,000.00 บาท และ 78,180.00 บาทแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ตามลำดับพร้อมด้วยดอกเบี้ยโดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 49,500.00 บาท ตามส่วน พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 สำหรับจำเลยที่ 3
โจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ที่ 1 ได้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน น.ฐ.22715 จากบริษัท เชสแมนอัตตัน อินเวสต์เมนต์ (ประเทศไทย) จำกัด ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.5 โดยมีโจทก์ที่ 2 ทำสัญญารับรองที่จะชำระหนี้สินที่โจทก์ที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระตามสัญญาเช่าซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อดังกล่าว ตามเอกสารหมาย จ.12 และโจทก์ที่ 1 ได้เอารถที่เช่าซื้อประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 3 ระบุไว้ในเอกสารแนบท้ายสัญญาให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดมงคลยนตการเป็นเจ้าของรถและได้รับเงินค่าเสียหายกรณีที่เอาประกันภัยไว้เสียหายหรือสูญหายจนซ่อมไม่ได้ ตามเอกสารหมาย จ.6 มีกำหนดสัญญา 1 ปี นับแต่วันที่ 3 มีนาคม 2521 เป็นต้นไป ต่อมาวันที่ 23 มิถุนายน 2521 รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียนน.ฐ.22715 ถูกรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.บ.06509 ของจำเลยที่ 2 ชนเสียหายโดยประมาทเลินเล่อ คิดค่าซ่อมเป็นเงิน 78,180.00 บาท หลังจากรถโจทก์ที่ 1 ถูกชนแล้ว โจทก์ที่ 1 ไม่มีเงินชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์ที่ 2 จึงชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่เหลือให้แก่บริษัท เชสแมนฮัตตัน อินเวสต์เมนต์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมเป็นเงิน 55,026.00 บาท ตามเอกสารหมาย จ.10 แทนโจทก์ที่ 1 และคดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์ทั้งสองนำสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก โจทก์ที่ 1 ไม่มาศาล ศาลจึงมีคำสั่งว่า โจทก์ที่ 1 ขาดนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ที่ 2 ระหว่างสืบพยานโจทก์ที่ 1 ได้เข้าเบิกความเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2524 ตามหมายเรียกพยานของโจทก์ที่ 2 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2524 คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงมีปัญหาเฉพาะจำเลยที่ 3 ว่าจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยหรือไม่
ที่โจทก์ที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ที่ 2 ได้ชำระค่าเช่าซื้อรถที่เอาประกันภัยแทนโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 ย่อมรับช่วงสิทธิของโจทก์ที่ 1 ในบรรดาที่มีอยู่ทั้งหมด ทั้งการที่โจทก์ที่ 2 ได้รับโอนกรรมสิทธิ์รถที่เอาประกันภัยมาโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ที่ 2 ก็ย่อมได้รับโอนสิทธิอันมีอยู่ตามสัญญาประกันภัยที่จะได้รับชดใช้เงินจากจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยด้วย เห็นว่าการที่โจทก์ที่ 2 เข้าทำสัญญารับรองการเช่าซื้อของโจทก์ที่ 1 โดยในกรณีที่โจทก์ที่ 1 ผิดสัญญา โจทก์ที่ 2 จะต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างทั้งหมดพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์รถที่เอาประกันภัยมาเป็นของโจทก์ที่ 2 นั้น เป็นการรับโอนสิทธิเรียกร้องอันมีอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์ที่ 1 มีต่อผู้ให้เช่าซื้อมาเป็นของโจทก์ที่ 2 เท่านั้น หาได้รวมไปถึงสิทธิเรียกร้องที่โจทก์ที่ 1 มีต่อจำเลยที่ 3 ตามสัญญาประกันภัยด้วยไม่เพราะเป็นสัญญาอีกฉบับหนึ่งแยกต่างหากจากสัญญาเช่าซื้อ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุวินาศภัยแก่รถที่เอาประกันภัยนี้ โจทก์ที่ 1 ยังอยู่ในฐานะเป็นผู้เช่าซื้อสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าสินไหมทดแทนในเหตุวินาศภัยย่อมเป็นของโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยที่จะเรียกร้องจากจำเลยที่ 3 การที่โจทก์ที่ 2 จะใช้สิทธิเรียกร้องนี้ได้ก็แต่โดยโจทก์ที่ 1 โอนสิทธิเรียกร้องนี้ให้แก่โจทก์ที่ 2 เท่านั้นอีกทั้งโจทก์ที่ 2 ได้รับโอนรถที่เอาประกันภัยมาภายหลังที่ความวินาศภัยได้เกิดขึ้นแล้ว สิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยย่อมไม่โอนตามไป ซึ่งกรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 875 โจทก์ที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 3 ในข้อที่ว่า เมื่อโจทก์ที่ 1 ขาดนัดพิจารณาศาลต้องจำหน่ายคดีเฉพาะโจทก์ที่ 1 นั้น เห็นว่าคดีนี้ โจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายนำสืบก่อนที่โจทก์ที่ 1 ขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อไป โดยมีคำสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์ที่ 1 ย่อมถือว่าเป็นการพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ แต่ก็ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 3 ได้คัดค้านจนศาลชั้นต้นสืบพยานทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นและวินิจฉัยชี้ขาดคดีไปแล้วจึงล่วงเลยเวลาที่จะคัดค้านกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งจำหน่ายคดีโจทก์ที่ 1 แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 27 จำเลยที่ 3 จึงหมดสิทธิที่จะยกข้อคัดค้านเรื่องนี้ในชั้นอุทธรณ์ ฎีกาจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
ส่วนจำเลยที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์ที่ 1 ขาดนัดพิจารณาจึงไม่มีสิทธิอ้างตนเองเป็นพยานและศาลไม่ควรรับฟังคำเบิกความของโจทก์ที่ 1 มาพิพากษาให้จำเลยที่ 3 รับต่อโจทก์ที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามหมายเรียกพยานลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2524 เป็นหมายเรียกให้โจทก์ที่ 1 มาเป็นพยานของโจทก์ที่ 2 และในชั้นที่โจทก์ที่ 1 เบิกความ โจทก์ที่ 1 เบิกความตอบคำถามของทนายโจทก์ที่ 2 และไม่มีตอนใดเลยที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์ที่ 1 เบิกความในฐานะที่เป็นพยานตนเอง กรณีถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 เบิกความในฐานะเป็นพยานของโจทก์ที่ 2 มิใช่เบิกความเป็นพยานตนเองดังที่จำเลยที่ 3 เข้าใจ ส่วนกรณีศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาให้โจทก์ที่ 1 ได้รับค่าเสียหายที่ต้องขาดรายได้จากการไม่ได้ใช้รถประจำวันจากจำเลยที่ 3 นั้น ปัญหานี้แม้จำเลยที่ 3 มิได้ฎีกาโต้แย้งขึ้นมาโดยตรงก็ตาม เมื่อมีกรณีที่จะต้องวินิจฉัยความรับผิดของจำเลยที่ 3 จึงต้องพิจารณาตามข้อสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจที่จะยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยได้เองและเห็นสมควรที่จะยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยด้วย ดังนั้นเมื่อตามกรรมธรรม์ประกันภัย เอกสารหมาย จ.6 รายการ 4 สัญญาข้อ 3.2 (หมวดที่ 3 สัญญาคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์รวมทั้งอุปกรณ์ติดประจำเนื่องจากการชนที่เกิดขึ้นระหว่างระยะเวลาประกันภัย ย่อมหมายความว่าความเสียหายที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดมีเฉพาะแต่ความเสียหายต่อตัวรถและอุปกรณ์เท่านั้น ความเสียหายเนื่องจากขาดรายได้ประจำวัน มิใช่ความเสียหายต่อตัวรถและอุปกรณ์จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่โจทก์ที่ 1 คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองในส่วนนี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่าให้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 สำหรับจำเลยที่ 3 ด้วย
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 303
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 862
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 869
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 875
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 877
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27
ผู้พิพากษา
ประการ กาญจนศูนย์
โกวิท สุนทรขจิต
กิติ บูรพรรณ์
แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา


