แชร์

ผู้เช่าซื้อเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์ที่เช่าซื้อ เป็นผู้เอาประกันภัยได้ 2

อัพเดทล่าสุด: 29 พ.ค. 2024
200 ผู้เข้าชม

ผู้เช่าซื้อเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์ที่เช่าซื้อ เป็นผู้เอาประกันภัยได้ 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 597/2540

คำพิพากษาย่อสั้น
     โจทก์ที่ 2 เป็นผู้เช่าซื้อรถที่จำเลยรับประกันภัย แม้จะชำระค่าเช่าซื้อยังไม่หมดมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถทั้งสองคัน แต่โจทก์ที่ 2 ในฐานะผู้เช่าซื้อมีสิทธิยึดถือและใช้ประโยชน์ตลอดจนรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดขึ้นแก่รถที่เช่าซื้อและเมื่อชำระเงินครบถ้วนแล้วรถนั้นย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 2 หรือหากสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน โจทก์ที่ 2 มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนผู้ให้เช่าซื้อ โจทก์ที่ 2 จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถทั้งสองคันมีสิทธิทำสัญญาประกันภัยกับจำเลยได้ตามกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งมีผลบังคับใช้ในขณะรถที่จำเลยรับประกันภัยสูญหายและในกรมธรรม์ก็มีชื่อตัวชื่อสกุลของโจทก์ที่ 2 ปรากฏอยู่ในช่องผู้เอาประกันภัยแม้จะอยู่ในวงเล็บก็มิได้หมายความว่ามิใช่เป็นผู้เอาประกันภัย ประกอบกับโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัย โจทก์ที่ 2 จึงเป็นคู่สัญญาประกันภัยกับจำเลยมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยต่างก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าผู้ใดเป็นคนร้ายลักรถที่จำเลยรับประกันภัยไปและจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่ทราบว่ารถที่จำเลยรับประกันภัยอยู่ที่ใด ทั้ง ว .คนขับรถซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ที่ 2 ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตามพฤติการณ์จึงยังฟังไม่ได้ว่า ว. ลักรถที่จำเลยรับประกันภัยไป จำเลยเพียงสงสัยว่า ว. อาจจะเป็นคนร้ายเท่านั้น ดังนี้จำเลยจึงต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย

คำพิพากษาย่อยาว
     โจทก์ฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายและราคารถทั้งสองคันที่จำเลยรับประกันภัยจำนวน 2,598,500.00 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
     จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้ราคารถทั้งสองคันให้แก่โจทก์ เพราะจำเลยไม่ได้รับประกันภัยราคารถ ผู้เอาประกันภัยยังไม่ได้ชำระเบี้ยประกันภัยให้จำเลย สัญญาประกันภัยจึงไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
     ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 600,000.00 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 2 คำขออื่นของโจทก์ที่ 2 ให้ยกและให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1

จำเลยอุทธรณ์
     ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ที่ 2 แต่เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ 2 ชนะคดี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา
      ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยได้ทำสัญญารับประกันภัยรถทั้งสองคันไว้ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.8 จริง ระหว่างระยะเวลาประกันภัยดังกล่าวปรากฏว่านายวรสันต์ นามแก้ว ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ที่ 2 ได้ขับรถที่จำเลยรับประกันภัยนำสินค้าไปส่งที่จังหวัดฉะเชิงเทราแล้วรถกับนายวรสันต์สูญหายไป คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์ที่ 2 มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ปัญหาข้อนี้จำเลยฎีกาอ้างว่าโจทก์ที่ 2 มิใช่ผู้เสียหาย มิใช่คู่สัญญาประกันภัยกับจำเลย เพราะโจทก์ที่ 2 เพียงมีชื่อในวงเล็บต่อท้ายชื่อของโจทก์ที่ 1 ในช่องผู้เอาประกันภัยเท่านั้น เห็นว่าโจทก์ที่ 2 เป็นผู้เช่าซื้อรถที่จำเลยรับประกันภัยตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ล.1 ล.2 แม้จะชำระค่าเช่าซื้อยังไม่หมดมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถทั้งสองคัน แต่โจทก์ที่ 2 ในฐานะผู้เช่าซื้อมีสิทธิยึดถือและใช้ประโยชน์ตลอดจนรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดขึ้นแก่รถที่เช่าซื้อและเมื่อชำระเงินครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อแล้วรถนั้นย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 2 หรือหากสัญญาเช่าซื้อเลิกกันโจทก์ที่ 2 มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนผู้ให้เช่าซื้อ โจทก์ที่ 2 จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถทั้งสองคัน มีสิทธิทำสัญญาประกันภัยกับจำเลยได้ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.5 จ.6 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในขณะรถที่จำเลยรับประกันภัยสูญหายและในกรมธรรม์ก็มีชื่อตัวชื่อสกุลของโจทก์ที่ 2 ปรากฏอยู่ในช่องผู้เอาประกันภัย แม้จะอยู่ในวงเล็บก็มิได้หมายความว่ามิใช่เป็นผู้เอาประกันภัย ประกอบกับโจทก์ที่ 2 นำสืบว่าโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยตามเอกสารหมาย จ.9 ซึ่งจำเลยมิได้นำสืบพยานหลักฐานโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์ที่ 2 เป็นผู้เอาประกันภัย โจทก์ที่ 2 จึงเป็นคู่สัญญาประกันภัยกับจำเลย ดังนี้โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
      ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า นายวรสันต์ลูกจ้างของโจทก์ที่ 2 ลักรถที่จำเลยรับประกันภัย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยนั้น ศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยที่นำสืบมาแล้วเห็นว่า พยานของทั้งสองฝ่ายไม่สามารถยืนยันได้ว่าผู้ใดเป็นคนร้ายลักรถที่จำเลยรับประกันภัยไปและจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่ทราบว่ารถที่จำเลยรับประกันภัยอยู่ที่ใด และนายวรสันต์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ตามพฤติการณ์ปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์จำเลยข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า นายวรสันต์ลูกจ้างของโจทก์ที่ 2 ลักรถที่จำเลยรับประกันภัยไป จำเลยเพียงสงสัยว่านายวรสันต์อาจจะเป็นคนร้ายก็ได้เท่านั้น ดังนี้จำเลยจึงต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55

ผู้พิพากษา
ชัยนาท พันตาวงศ์
ปรีชา เฉลิมวณิชย์
สละ เทศรำพรรณ

แหล่งที่มา: สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ