แชร์

เจ้าของหรือผู้ครอบครองถือว่ามีส่วนได้เสีย 

อัพเดทล่าสุด: 5 มิ.ย. 2024
158 ผู้เข้าชม

เจ้าของหรือผู้ครอบครองถือว่ามีส่วนได้เสีย 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2661/2532 

คำพิพากษาย่อสั้น
     โจทก์ที่ 2 ทำสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขรถยนต์คันพิพาทมาจากโจทก์ที่ 1 แล้วโจทก์ที่ 2 นำรถไปประกอบการขนส่ง โจทก์ที่ 2 จึงเป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันพิพาทอันมีส่วนได้เสียที่จะเอาประกันภัยได้  ใบเสร็จรับเงินค่าเบี้ยประกันภัยมีลายมือชื่อผู้จัดการของจำเลยและมีรายละเอียดต่างๆ คือหมายเลขทะเบียนและรายละเอียดอื่นเกี่ยวกับรถยนต์ที่เอาประกันภัย ทุนประกัน ระยะเวลาประกัน ทั้งระบุหมายเลขของกรมธรรม์ด้วย ดังนี้ ใบเสร็จรับเงินค่าเบี้ยประกันภัยดังกล่าวย่อมเป็นหลักฐานเป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2524 โจทก์ที่ 2 ได้โทรศัพท์ทางไกลจากจังหวัดมุกดาหาร ขอเสนอเอาประกันภัยรถยนต์คันพิพาทกับตัวแทนของจำเลยประจำจังหวัดอุบลราชธานี ตัวแทนจำเลยได้ออกใบเสร็จรับเงินเบี้ยประกันภัยของจำเลยให้แก่โจทก์ที่ 2 ในวันนั้น โดยระบุระยะเวลาประกันเริ่มวันที่ 3 พฤษภาคม 2524 สิ้นสุด 3 พฤษภาคม 2525 เวลา 0.01 นาฬิกา ตัวแทนจำเลยได้โทรเลขแจ้งจำเลยที่กรุงเทพมหานคร  จำเลยได้รับโทรเลขวันที่ 4 เดือนเดียวกัน วันที่ 4 พฤษภาคม 2524 โจทก์ที่ 2 ได้ส่งตั๋วแลกเงินชำระเบี้ยประกันภัยให้ตัวแทนจำเลยและวันที่ 6 เดือนเดียวกันจำเลยได้ออกกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์คันพิพาท ดังนี้ ต้องถือว่าการประกันภัยรายนี้ได้ตกลงกันแล้วระหว่างโจทก์ที่ 2 กับตัวแทนจำเลยในวันที่ 2 พฤษภาคม 2524 เมื่อรถยนต์คันพิพาทถูกคนร้ายปล้นเอาไปตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2524 เวลา 22 นาฬิกา จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสอง

คำพิพากษาย่อยาว
     โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ขายรถยนต์คันพิพาทโดยมีเงื่อนไขให้โจทก์ที่ 2 โจทก์ทั้งสองได้ทำสัญญาประกันวินาศภัยรถยนต์คันดังกล่าวกับจำเลย ต่อมามีคนร้ายปล้นเอารถยนต์คันดังกล่าวไป ขอให้จำเลยชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว และไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆกับโจทก์ทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 300,000.00 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2524 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000.00 บาท

จำเลยอุทธรณ์
     ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,000.00 บาทแทนโจทก์ทั้งสอง

จำเลยฎีกา
     ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในข้อที่ว่า โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันพิพาทอันจะทำให้เป็นผู้มีส่วนได้เสียเอาประกันภัยได้หรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ที่ 2 ได้ซื้อขายมีเงื่อนไขรถยนต์คันพิพาทมาจากโจทก์ที่ 1 แล้วโจทก์ที่ 2 นำรถคันพิพาทไปประกอบการขนส่งตามใบอนุญาตประกอบการขนส่งเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งเอกสารฉบับดังกล่าวระบุหมายเลขทะเบียนรถยนต์และเลขเครื่องยนต์ตรงกับรถยนต์คันพิพาทและโจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของรถ โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ประกอบการขนส่งและระบุว่ามีสิทธิครอบครองและใช้รถโดยเช่าซื้อ โดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้างหรือนำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น เช่นนี้ ย่อมเพียงพอที่จะฟังว่า โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันพิพาทอันมีส่วนได้เสียที่จะเอาประกันภัยได้ ความแตกต่างของพยานหลักฐานเพียงแต่การเรียกชื่อสัญญาว่า "ซื้อขายมีเงื่อนไข" กับเรียกว่า "เช่าซื้อ" ไม่ถึงกับทำให้พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ เพราะสัญญาสองประเภทนี้มีลักษณะใกล้เคียงกันอยู่มาก อาจเรียกสับสนกันได้
     ส่วนในประเด็นที่ว่า จำเลยได้รับประกันภัยรถยนต์คันพิพาทหรือไม่และเกิดสัญญาก่อนเกิดเหตุอันจะทำให้จำเลยต้องรับผิดหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นแล้วว่า เมื่อวันที่ 2พฤษภาคม 2524 โจทก์ที่ 2 ได้โทรศัพท์ทางไกลจากจังหวัดมุกดาหารขอเสนอเอาประกันภัยรถยนต์คันพิพาทกับนายสนิทตัวแทนของจำเลยประจำจังหวัดอุบลราชธานี นายสนิทได้ออกใบเสร็จรับเงินเบี้ยประกันของจำเลยเอกสารหมาย จ.7 ให้แก่โจทก์ที่ 2 และนายสนิทได้โทรเลขแจ้งจำเลยตามเอกสารหมาย ล.2 จำเลยได้รับโทรเลขดังกล่าวในวันที่ 4 พฤษภาคม 2524 และในวันเดียวกันนั้นโจทก์ที่ 2 ได้ส่งตั๋วแลกเงินเอกสารหมาย ล.3 ชำระเบี้ยประกันภัยรถยนต์คันพิพาทให้นายสนิท วันที่ 6 เดือนเดียวกัน จำเลยได้ออกกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์คันพิพาท แต่รถยนต์คันพิพาทได้ถูกคนร้ายปล้นเอาไปตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2524 เวลา 22 นาฬิกา เช่นนี้ จากใบเสร็จรับเงินค่าเบี้ยประกันภัยเอกสารหมาย จ.7 ปรากฏว่า มีลายมือชื่อผู้จัดการของจำเลยและมีรายละเอียดต่างๆ กล่าวคือ หมายเลขทะเบียนและรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับรถยนต์ที่เอาประกันภัยซึ่งบ่งถึงรถยนต์คันเกิดเหตุนี้ ทุนประกัน 300,000.00 บาท ระยะเวลาประกันเริ่มวันที่ 3 พฤษภาคม 2524 สิ้นสุด วันที่ 3 พฤษภาคม 2525 เวลา 0.01 นาฬิกา ทั้งระบุหมายเลขของกรมธรรม์ว่าเลขที่ อบ.076/24 ซึ่งตรงกับรายละเอียดในกรมธรรม์ประกันภัย ในกรมธรรม์ประกันภัยก็ระบุให้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2524 ด้วย ทั้งนายสนิทเบิกความว่าโจทก์ที่ 2 เคยนำรถยนต์คันพิพาทมาประกันไว้กับจำเลยมาก่อนและว่าเงินค่าเบี้ยประกันภัยตามเอกสารหมาย ล.3 ที่โจทก์ที่ 2 ชำระแก่จำเลยเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2524 เป็นจำนวนเงินค่าเบี้ยประกันสำหรับรถยนต์ 2 คัน รวมทั้งรถคันพิพาทด้วย แสดงถึงการติดต่อกันมานาน จึงฟังได้ว่า การประกันภัยรายนี้ได้ตกลงกันแล้วระหว่างโจทก์ที่ 2 กับนายสนิทตัวแทนของจำเลยในวันที่ 2 พฤษภาคม2524 โดยมีใบเสร็จรับเงินค่าเบี้ยประกันภัยเอกสารหมาย จ.7 เป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้จัดการของจำเลยจึงสมบูรณ์และฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ อันมีผลว่าสัญญาประกันรายนี้เกิดขึ้นก่อนที่เกิดเหตุรถยนต์คันพิพาทถูกคนร้ายปล้นไป จำเลยจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
     พิพากษายืน ผู้รับมอบอำนาจโจทก์แก้ฎีกาเองจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 361
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 

ผู้พิพากษา
นิเวศน์ คำผอง
บุญส่ง คล้ายแก้ว
ประชา บุญวนิช 

แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ