แชร์

สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกต้องแสดงเจตนาเข้ารับประโยชน์

อัพเดทล่าสุด: 5 มิ.ย. 2024
160 ผู้เข้าชม

สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกต้องแสดงเจตนาเข้ารับประโยชน์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1112/2545

คำพิพากษาย่อสั้น
      กรมธรรม์ประกันภัยระบุชื่อบรรษัท ง. เป็นผู้รับประโยชน์ ซึ่งผู้รับประโยชน์หาต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่เอาประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 ไม่ กรณีเช่นนี้เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอก ซึ่งบรรษัท ง. จะมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนหากเกิดวินาศภัยต่อเมื่อได้แสดงเจตนาว่าจะขอเข้ารับประโยชน์จากสัญญาประกันภัยต่อโจทก์แล้วตามมาตรา 374 มิใช่เพียงแต่มีชื่อเป็นผู้รับประโยชน์จะทำให้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทันที เมื่อบรรษัท ง. มิได้แสดงเจตนาเข้าเป็นผู้รับประโยชน์ จึงยังไม่มีสิทธิใดๆตามกรมธรรม์ประกันภัย เมื่อสิทธิของบรรษัท ง. ยังไม่บริบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว จำเลยผู้เอาประกันภัยในฐานะคู่สัญญาประกันภัยย่อมเป็นผู้รับประโยชน์ที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 861 การที่จำเลยได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากโจทก์ จึงเป็นการได้รับไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย มิใช่เป็นลาภมิควรได้ตามมาตรา 406

คำพิพากษาย่อยาว
      โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยตัวอาคารโรงงานทรัพย์สินภายในอาคาร เครื่องจักรและเครื่องมืออื่นๆของจำเลย ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 150 หมู่ที่ 1 ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ในวงเงินประกันภัย 34,000,000 บาท โดยบรรษัท เงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม เป็นผู้รับประโยชน์ เมื่อเดือนเมษายน 2541 ได้เกิดลมพายุพัดเป็นเหตุให้หลังคากระเบื้องอาคารโรงงานและทรัพย์สินภายในอาคารของจำเลยที่เอาประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย จำเลยเรียกร้องให้โจทก์ชำระค่าเสียหายตามสัญญา โจทก์จึงชำระเงินให้แก่จำเลยเป็นเงิน 216,469.00 บาท เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2541 ต่อมาเมื่อเดือนสิงหาคม 2541 โจทก์ตรวจพบว่าเจ้าหน้าที่ของโจทก์จ่ายเงินผิดพลาดเพราะตามสัญญาโจทก์จะต้องจ่ายเงินให้แก่บรรษัท เงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม ผู้รับประโยชน์จึงทวงถามให้จำเลยชำระเงินคืนแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 230,329.00 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 216,469.00 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

     จำเลยให้การว่า จำเลยเอาประกันภัยโรงงานและทรัพย์สินตามฟ้องจริง เมื่อโรงงานและทรัพย์สินเกิดความเสียหาย จำเลยจึงเรียกร้องให้โจทก์รับผิดตามสัญญาประกันภัยซึ่งโจทก์มีหน้าที่ทำการซ่อมแซมทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพเดิม แต่โจทก์ให้จำเลยทำการซ่อมแซมทรัพย์สินที่เอาประกันภัยเป็นเงิน 216,469.00 บาท เมื่อจำเลยรับเงินดังกล่าวจากโจทก์ตามเงื่อนไขแล้วจึงไม่เป็นลาภมิควรได้ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมไม่มีสิทธิรับเงินค่าเสียหายจากทรัพย์สินที่เอาประกันภัยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยขอให้ยกฟ้อง
     ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 216,469.00 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องไม่เกิน 13,860.00 บาท ตามที่โจทก์ขอ

จำเลยอุทธรณ์
     ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา
     ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยได้ความว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยตัวอาคารโรงงาน ทรัพย์สินภายในอาคาร เครื่องตกแต่งติดตั้ง ตรึงตรา ตลอดจนที่สต็อกสินค้า ถ่านโค๊กวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า เครื่องจักรอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆของจำเลยในวงเงิน 34,000,000.00 บาท มีกำหนดระยะเวลาประกันภัย 1 ปี เริ่มวันที่ 23 มิถุนายน 2540 เวลา 16 นาฬิกาสิ้นสุดวันที่ 23 มิถุนายน 2541 เวลา 16 นาฬิกา ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน 2541 เกิดลมพายุเป็นเหตุทำให้หลังคากระเบื้องอาคารโรงงานและทรัพย์สินที่อยู่ภายในอาคารของจำเลยเสียหาย ซึ่งได้มีการตรวจสอบความเสียหายกันแล้วในวันที่ 26 มิถุนายน2541 โจทก์จึงจ่ายค่าเสียหายให้จำเลยไปเป็นเงิน 216,469.00 บาท แต่ภายหลังโจทก์ตรวจพบว่าตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ทำไว้กับจำเลยนั้นได้ระบุให้บรรษัท เงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นผู้รับประโยชน์ โจทก์จึงมีหนังสือทวงถามให้จำเลยคืนเงินดังกล่าว แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้
      มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยชั้นนี้ว่า จำเลยต้องคืนเงินค่าสินไหมทดแทนจำนวน 216,469.00 บาท ที่โจทก์จ่ายให้จำเลยไว้แล้วตามกรมธรรม์ประกันภัยในฐานลาภมิควรได้หรือไม่ เห็นว่า สัญญาประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยและผู้เอาประกันภัยได้ทำกันไว้นั้น หากไม่ได้ระบุผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยกันไว้ ผู้เอาประกันภัยก็คือผู้รับประโยชน์ที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยเพื่อความเสียหายใดๆที่เกิดแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยที่กำหนดไว้นั่นเอง กรมธรรม์ประกันภัยเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 นอกจากจะมีโจทก์ผู้รับประกันภัยและจำเลยผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นคู่สัญญาประกันภัยแล้ว ยังระบุชื่อบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย ซึ่งผู้รับประโยชน์ดังกล่าวนี้หาต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่ผู้รับประกันภัยและผู้เอาประกันภัยทำสัญญาประกันภัยกันไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 ไม่ การที่กรมธรรม์ประกันภัยระบุให้บรรษัท เงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม เป็นผู้รับประโยชน์ไว้เช่นนี้เป็นลักษณะที่โจทก์ผู้รับประกันภัยและจำเลยผู้เอาประกันภัยตกลงกันทำสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอกซึ่งบรรษัท เงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม บุคคลภายนอกจะมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนหากเกิดวินาศภัยแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ในฐานะเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 โดยที่จำเลยผู้เอาประกันภัยไม่มีสิทธิจะได้รับค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวต่อเมื่อบรรษัท เงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมได้แสดงเจตนาว่าจะขอเข้ารับประโยชน์จากสัญญาประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 ต่อโจทก์ผู้ต้องรับผิดในมูลหนี้ตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 มิใช่เพียงแต่มีชื่อเป็นผู้รับประโยชน์ในกรมธรรม์ประกันภัยแล้วจะทำให้บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมมีสิทธิได้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 ทันที ซึ่งตามคำฟ้องของโจทก์ก็ไม่ได้ความว่า บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมได้แสดงเจตนาต่อโจทก์เพื่อจะเข้าเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 ก่อนที่โจทก์จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายของอาคารที่จำเลยเอาประกันภัยไว้ให้แก่จำเลยแต่อย่างใด ดังนั้น บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมจึงยังไม่มีสิทธิใดๆตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว เมื่อสิทธิของบรรษัท เงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมที่จะเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 ยังไม่บริบูรณ์ตามกฎหมายเสียแล้ว จำเลยผู้เอาประกันภัยในฐานะคู่สัญญาประกันภัยกับโจทก์ผู้รับประกันภัย ย่อมเป็นผู้รับประโยชน์ที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยจากโจทก์ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 861 การที่จำเลยได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากโจทก์จำนวน 216,469.00 บาท จึงเป็นการได้รับไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว มิใช่เป็นลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 ดังเช่นที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยแต่อย่างใด จำเลยไม่จำต้องคืนเงินค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น"
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 861

ผู้พิพากษา
พินิจ เพชรรุ่ง
โนรี จันทร์ทร
ทวีวัฒน์ แดงทองดี

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ