แชร์

สัญญาประกันภัยต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดจึงฟ้องได้

อัพเดทล่าสุด: 5 มิ.ย. 2024
140 ผู้เข้าชม

สัญญาประกันภัยต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดจึงฟ้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5133/2542

คำพิพากษาย่อสั้น
     สัญญาประกันภัยกฎหมายมิได้กำหนดแบบแห่งนิติกรรมไว้ เพียงแต่บังคับให้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือตัวแทนเป็นสำคัญมิฉะนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีมิได้ ดังนั้นสัญญาประกันภัยจึงเกิดขึ้น เมื่อมีการแสดงเจตนาทำคำเสนอคำสนองถูกต้องตรงกัน
ส.ผู้จัดการจำเลย สาขาขอนแก่น มิได้เป็นตัวแทนผู้มีอำนาจทำสัญญาประกันภัยแทนจำเลย ส. จึงไม่มีอำนาจรับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันพิพาทไว้จากโจทก์ แต่การที่ ส. รับคำขอเอาประกันภัยไว้จากโจทก์ก็เพียงเพื่อส่งคำเสนอของโจทก์ให้แก่บริษัทจำเลยสำนักงานใหญ่พิจารณาว่าจะรับประกันภัยได้หรือไม่เท่านั้น มิใช่เป็นคำสนองรับประกันภัย เมื่อบริษัทจำเลยสำนักงานใหญ่ เพิ่งได้รับคำเสนอของโจทก์ เมื่อเวลา 13.55 นาฬิกา อันเป็นเวลาหลังจากที่รถยนต์บรรทุกคันพิพาทได้เกิดเหตุไปแล้ว ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้มีคำสนองตอบรับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันพิพาทเมื่อใด จึงฟังไม่ได้ว่าขณะที่รถยนต์บรรทุกคันพิพาทเกิดอุบัติเหตุนั้น จำเลยได้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้แล้ว อันจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์

คำพิพากษาย่อยาว
     โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับประกันภัยหมู่รถยนต์ของโจทก์รวม 3 คัน คือ รถยนต์อีซูซุหมายเลขทะเบียน 81-0707 ขอนแก่น ในวงเงิน 500,000.00 บาท รถยนต์อีซูซุหมายเลขทะเบียน 80-9320 ขอนแก่น ในวงเงิน 400,000.00 บาท และรถพ่วงหมายเลขทะเบียน 82-0311 นครราชสีมา ในวงเงิน 250,000.00 บาท นับแต่วันที่ 24 เมษายน 2535 ถึงวันที่ 24 เมษายน 2536 จำเลยออกกรมธรรม์ประกันภัยให้โจทก์เพียง 1 ฉบับ เฉพาะรถพ่วงหมายเลขทะเบียน 82-0311 นครราชสีมา เท่านั้น แต่จำเลยนำเบี้ยประกันภัยของรถยนต์อีก 2 คัน ไปคำนวณหักส่วนลดให้ 10 เปอร์เซ็นต์ในกรณีประกันภัยหมู่ด้วย เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2535 เวลาประมาณ 9 นาฬิการถยนต์หมายเลขทะเบียน 81-0707 ขอนแก่น ของโจทก์ประสบอุบัติเหตุชนกับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-5421 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเอาประกันภัยไว้แก่บริษัท ร.ส.พ. ประกันภัย จำกัด ได้รับความเสียหาย บริษัทดังกล่าวได้รับช่วงสิทธิมาเรียกร้องค่าเสียหายจากโจทก์เป็นเงิน 170,000.00 บาท และเฉี่ยวกับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 9ฉ-8692 กรุงเทพมหานคร แล้วพลิกคว่ำลงโดนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2ว - 0142 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเอาประกันภัยไว้แก่บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด ได้รับความเสียหาย บริษัทดังกล่าวได้รับช่วงสิทธิมาเรียกร้องค่าเสียหายจากโจทก์เป็นเงิน 245,000.00 บาท ส่วนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 81-0707 ขอนแก่น ของโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 250,000.00 บาท เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2535 รถยนต์หมายเลขทะเบียน 80 - 9320 ขอนแก่น ประสบอุบัติเหตุชนกับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 82 - 0230 ชลบุรี ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 111,219.00 บาท โจทก์แจ้งให้จำเลยชำระค่าเสียหายดังกล่าว แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้น 776,219.00 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 776,219.00 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพมหานคร และโจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในรถยนต์หมายเลขทะเบียน 81 - 0707 ขอนแก่น และ 80 - 9320 ขอนแก่น หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเป็นหนังสือปลอม จำเลยไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 81 - 0707 ขอนแก่น และ 80 - 9320 ขอนแก่น จากโจทก์ โจทก์ไม่เคยชำระเบี้ยประกันภัยรถยนต์ทั้งสองคันแก่จำเลย นายสมนึก แจ้งคง ไม่ได้เป็นตัวแทนรับมอบอำนาจจากจำเลยให้ทำสัญญาประกันภัยกับโจทก์ โจทก์ไม่ได้เป็นผู้รับช่วงสิทธิในค่าเสียหายของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80 - 5421 กรุงเทพมหานคร และ 2ว - 0142 กรุงเทพมหานคร ส่วนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80 - 0707 ขอนแก่น (ที่ถูก 81 - 0707 ขอนแก่น)และ 80 - 9320 ขอนแก่น ได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย ค่าซ่อมไม่เกินคันละ30,000.00 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2535 เวลาประมาณ 7 นาฬิกา โจทก์โดยนายสำราญ ลักษมีเศรษฐ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ขอเอาประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน81 - 0707 ขอนแก่น, 80 - 9320 ขอนแก่น และรถพ่วงหมายเลขทะเบียน 82 - 0311 นครราชสีมา ไว้แก่นายสมนึก แจ้งคง ผู้จัดการจำเลย สาขาขอนแก่น ต่อมาเวลาประมาณ 9 นาฬิกา รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 81 - 0707 ขอนแก่น ประสบอุบัติเหตุชนกับรถยนต์บรรทุกคันอื่นเสียหาย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยรับประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 81 - 0707 ขอนแก่น จากโจทก์หรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ และนายสมนึก ผู้จัดการจำเลยสาขาขอนแก่น มาเบิกความยืนยันว่า เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2535 เวลาประมาณ 7 นาฬิกา ผู้รับมอบอำนาจโจทก์โทรศัพท์แจ้งแก่นายสมนึกขอเอาประกันภัยรถยนต์บรรทุก 2 คันและรถพ่วง 1 คัน นายสมนึกรับแจ้งการขอเอาประกันภัยและส่งหลักฐานไปยังบริษัทจำเลย สำนักงานใหญ่ตามเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งโจทก์ฎีกาว่า นายสมนึกเป็นตัวแทนกระทำการแทนจำเลย สัญญาประกันภัยจึงเกิดนับแต่นายสมนึกรับแจ้งคำขอเอาประกันภัยและเอกสารหมาย จ.3 ดังกล่าวเป็นหลักฐานเป็นหนังสือซึ่งลงลายมือชื่อของนายสมนึกตัวแทนของจำเลย โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 วรรคแรก ดังนี้ เห็นว่า สัญญาประกันภัยนั้นกฎหมายมิได้กำหนดแบบแห่งนิติกรรมไว้ เพียงแต่บังคับให้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือตัวแทนเป็นสำคัญ มิฉะนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีมิได้ ดังนั้น สัญญาประกันภัยจึงเกิดขึ้นเมื่อมีการแสดงเจตนาทำคำเสนอคำสนองถูกต้องตรงกัน ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏจากการนำสืบของโจทก์ว่า นายสมนึกเป็นตัวแทนผู้มีอำนาจทำสัญญาประกันภัยแทนจำเลย กลับปรากฏจากคำเบิกความของนายสมนึกพยานโจทก์เองที่เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า พยานไม่มีอำนาจรับประกันภัย ต้องส่งเรื่องไปให้บริษัทจำเลยสำนักงานใหญ่ เป็นผู้ออกกรมธรรม์ประกันภัยให้ ซึ่งนายสัมพันธ์ เปรมปฐมกิจ ผู้จัดการแผนกกฎหมายของจำเลยก็มาเบิกความเป็นพยานจำเลยยืนยันว่าตามปกติผู้เอาประกันภัยต้องมายื่นคำขอเอาประกันภัยต่อบริษัทจำเลยหรือตัวแทนของจำเลย และต้องนำรถที่จะเอาประกันภัยมาตรวจสภาพรถด้วย เมื่อตัวแทนของจำเลยได้รับคำขอเอาประกันภัยแล้วต้องส่งให้สำนักงานใหญ่ทราบโดยทางโทรสาร เพื่อให้บริษัทรับการประกันภัยและคุ้มครองรถ ฝ่ายรับประกันภัยของบริษัทก็มีหน้าที่ตรวจดูเอกสารต่างๆว่าเข้าเงื่อนไขในการรับประกันภัยหรือไม่ หากถูกต้องก็จะออกกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยต่อไป สำหรับรถยนต์บรรทุกคันพิพาท บริษัทจำเลย สำนักงานใหญ่ได้รับคำขอเอาประกันภัยเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2535 เวลา 13.55 นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่รถยนต์คันดังกล่าวเกิดอุบัติเหตุแล้ว เห็นว่าคำขอเอาประกันภัยรถยนต์เอกสารหมาย จ.3 เป็นเพียงคำเสนอขอเอาประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันพิพาทที่โจทก์เสนอต่อจำเลยเท่านั้น การที่นายสมนึกผู้จัดการจำเลยสาขาขอนแก่น รับคำขอเอาประกันภัยดังกล่าวไว้จากโจทก์ก็เพียงแต่เพื่อส่งให้แก่บริษัทจำเลย สำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพมหานครพิจารณาว่าจะรับประกันภัยได้หรือไม่เท่านั้น หากพิจารณาแล้วรับประกันภัยได้ บริษัทจำเลยสำนักงานใหญ่ก็จะออกกรมธรรม์ประกันภัยให้ผู้เอาประกันภัยต่อไป การที่นายสมนึกรับคำขอเอาประกันภัยเอกสารหมาย จ.3 ไว้เพื่อส่งให้แก่บริษัทจำเลย สำนักงานใหญ่ดังกล่าวจึงมิใช่เป็นคำสนองรับประกันภัยของจำเลย แต่เป็นเพียงการรับคำเสนอของโจทก์เพื่อส่งไปให้บริษัทจำเลย สำนักงานใหญ่พิจารณาว่าจะรับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันพิพาทได้หรือไม่เท่านั้น ซึ่งปรากฏว่าคำเสนอดังกล่าวนั้นบริษัทจำเลย สำนักงานใหญ่เพิ่งได้รับเมื่อเวลา 13.55 นาฬิกา ตามเอกสารหมาย จ.3 แผ่นที่ 2 อันเป็นเวลาหลังจากที่รถยนต์บรรทุกคันพิพาทได้เกิดเหตุไปแล้วเมื่อเวลาประมาณ 9 นาฬิกา ทั้งไม่ปรากฏจากการนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยได้มีคำสนองตอบรับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันพิพาทเมื่อใด กรณีจึงฟังไม่ได้ว่า ขณะที่รถยนต์บรรทุกคันพิพาทเกิดอุบัติเหตุนั้น จำเลยได้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้แล้ว อันจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 361
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 861
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867

ผู้พิพากษา
ระพินทร บรรจงศิลป
วิเทพ ศิริพากย์
ชนะ ภาสกานนท์

แหล่งที่มา: สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ