แชร์

ผู้ตายเป็นเพียงผู้ที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันที่จำเลยขับขี่มาเท่านั้น

อัพเดทล่าสุด: 6 มิ.ย. 2024
125 ผู้เข้าชม

ผู้ตายเป็นเพียงผู้ที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันที่จำเลยขับขี่มาเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2534

คำพิพากษาย่อสั้น
     การที่ ด.บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายเป็นเพราะจำเลยกับส.ต่างประมาท มิใช่เป็นการร่วมกระทำละเมิด เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายอันเดียวกัน จึงเป็นกรณีบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งแยกจากกันชำระมิได้ ผู้กระทำละเมิดทุกคนต้องร่วมรับผิดในความเสียหายต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 301 ประกอบมาตรา 291 ศาลจะวินิจฉัยว่าจำเลยประมาทน้อยกว่า ส. จึงให้จำเลยรับผิดเพียง 3 ใน 10 ส่วน ตามความร้ายแรงแห่งละเมิดหาได้ไม่ เพราะด. มิได้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วย ผู้กระทำละเมิดแต่ละคนจะรับผิดมากน้อยเพียงใดเป็นเรื่องระหว่างผู้กระทำละเมิดด้วยกันเอง

คำพิพากษาย่อยาว
     โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายดำรง พรมแสนปัง ซึ่งเกิดจากนางหนูพิน พรมแสนปัง เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2527 จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ขับรถยนต์รับจ้างบรรทุกผู้โดยสารคันหมายเลขทะเบียน 10-0211 หนองคาย ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังและจำเลยสามารถใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ โดยจำเลยขับรถยนต์คันดังกล่าวไปตามถนนสายปากคาด-โซ่พิสัย ซึ่งเป็นถนนดินลูกรัง มุ่งหน้าไปทางอำเภอโซ่พิสัยด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด มีฝุ่นฟุ้งไม่อาจมองเห็นทางข้างหน้าได้ในระยะ 60 เมตร และมีกองดินลูกรังกองอยู่ด้านขวามือของถนนเป็นระยะ ๆ ทำให้ช่องทางเดินรถแคบลง ในขณะนั้นนายสุริยันต์ พรมแสนปัง ขับขี่รถจักรยานยนต์โดยมีนายดำรงค์ พรมแสนปัง ผู้ตายนั่งซ้อนท้ายแล่นอยู่ข้างหน้ารถยนต์ของจำเลยโฉมหน้าไปทางเดียวกัน ในภาวะเช่นนี้จำเลยควรขับรถด้วยความเร็วต่ำและไม่ควรขับแซงรถคันอื่นที่แล่นอยู่ข้างหน้า แต่จำเลยกลับขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงเพื่อจะแซงรถจักรยานยนต์คันที่นายสุริยันต์ขับขี่และนายดำรงค์นั่งซ้อนท้าย เป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับเฉี่ยวนายดำรงค์ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งทางด้านขวาของรถจักรยานยนต์ทำให้รถจักรยานยนต์เสียหลักล้มขวางทาง เป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับทับรถจักรยานยนต์และทับนายดำรงค์ ได้รับอันตรายสาหัสและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ขณะมีชีวิตอยู่นายดำรงค์เรียนชั้นม.3 หากนายดำรงค์ไม่ถึงแก่ความตาย ย่อมมีโอกาสประกอบอาชีพและโจทก์ต้องได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากนายดำรงค์อย่างต่ำไม่น้อยกว่าเดือนละ 500 บาท ไปจนตลอดชีวิต แต่โจทก์ขอคิดค่าอุปการะเลี้ยงดูเพียง 10 ปี เป็นเงิน 60,000 บาท โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพของนายดำรงค์ ตลอดระยะเวลา 3 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 20,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวน 80,000 บาท นับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 11 เดือนเศษ โจทก์คิดเพียง 11 เดือน เป็นดอกเบี้ยจำนวน 5,500 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 85,500 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน 85,500 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวน 80,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
     จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ขับรถยนต์โดยประมาทและมิได้ขับรถเร็ว สภาพของถนนสายปากคาด-โซ่พิสัย ไม่ดี นายสุริยันต์ พรมแสนปัง ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่นายดำรงค์ พรมแสนปัง บุตรโจทก์นั่งซ้อนท้ายขับขี่ด้วยความคึกคะนอง แซงรถยนต์ที่จำเลยขับด้วยความเร็วสูง ปีนกองหินข้างทางเสียหลักแฉลบมาขวางทางรถยนต์ที่จำเลยขับ จำเลยหยุดรถได้ทันท่วงทีโดยคานส่งของรถจำเลยสะดุดครูดรถจักรยานยนต์ที่ล้มขวางทางเท่านั้น ส่วนนายสุริยันต์และนายดำรงค์กระเด็นตกจากรถไปก่อนแล้ว ข้ออ้างของโจทก์เรื่องขาดไร้อุปการะนั้นเลื่อนลอย ไม่แน่ว่านายดำรงค์จะสามารถเรียนต่อจนสำเร็จและมีโอกาสทำงานหรือไม่ ค่าใช้จ่ายในการทำศพอย่างสูงไม่เกิน 10,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง

     ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า
          1. จำเลยประมาทหรือไม่
          2. ค่าเสียหายมีเพียงใด

     ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น คู่ความแถลงร่วมกันว่าในประเด็นข้อพิพาทที่ว่าจำเลยประมาทหรือไม่ โจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน โดยขอถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 227/2528 (หมายเลขแดงที่ 2336/2528) ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดหนองคาย โจทก์ นายบัวแสง ชนชิต ที่ 1 นายสุริยันต์ พรมแสนปัง ที่ 2 จำเลย ของศาลชั้นต้นแทน
      ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วว่า ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 227/2528 หมายเลขแดงที่ 2336/2528 ของศาลชั้นต้นที่คู่ความแถลงร่วมกันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาในคดีดังกล่าวรับฟังได้ว่า นายสุริยันต์ พรมแสนปัง และจำเลยต่างก็ประมาท และศาลชั้นต้นเห็นว่านายสุริยันต์ พรมแสนปัง ประมาทมากกว่าจำเลย จึงกำหนดความรับผิดในค่าสินไหมทดแทนตามความร้ายแรงแห่งละเมิด โดยให้จำเลยรับผิดเพียง 3 ใน 10 ส่วน ศาลกำหนดค่าปลงศพเป็นเงิน 10,000 บาทค่าขาดไร้อุปการะ 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 40,000 บาท จำเลยต้องรับผิด 3 ใน 10 ส่วนของเงินดังกล่าว คิดเป็นเงิน 12,000 บาทพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 12,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิด (8 พฤษภาคม 2527) ไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 1,000 บาท

โจทก์อุทธรณ์
      ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ 40,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันทำละเมิด (8 พฤษภาคม 2527) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ

จำเลยฎีกา
      ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา สำหรับคดีอาญานั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาตามคดีหมายเลขแดงที่ 2336/2528 ของศาลชั้นต้น โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยและนายสุริยันต์ พรมแสนปัง ต่างประมาทด้วยกันเป็นเหตุให้รถยนต์โดยสารที่จำเลยขับชนกับรถจักรยานยนต์ที่นายสุริยันต์ขับขี่ทำให้นายดำรงค์ พรมแสนปัง บุตรโจทก์ซึ่งนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุถึงแก่ความตาย ดังนั้น ในคดีนี้ซึ่งเป็นส่วนแพ่งต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยกับนายสุริยันต์ ต่างประมาทด้วยกันเป็นเหตุให้นายดำรงค์บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย ปัญหาคงมีเพียงว่า จำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพียงใดในปัญหาดังกล่าวศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์สมควรได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 40,000 บาท โดยกำหนดเป็นค่าปลงศพ 10,000 บาท และค่าขาดไร้อุปการะ 30,000 บาท ในชั้นนี้มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเพียงว่า จำเลยจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เต็มจำนวน 40,000 บาท หรือจะชดใช้เพียง 3 ใน 10 ส่วนของเงิน 40,000 บาท ตามข้อฎีกาของจำเลย เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ เนื่องจากจำเลยทำละเมิดเป็นเหตุให้นายดำรงค์บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย โจทก์ได้รับความเสียหาย ข้อเท็จจริงฟังยุติว่าจำเลยกับนายสุริยันต์ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่นายดำรงค์ผู้ตายนั่งซ้อนท้ายมาต่างประมาทด้วยกันมิใช่เป็นการร่วมกันกระทำละเมิด นายดำรงค์ผู้ตายซึ่งโจทก์สืบสิทธิมาฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย เป็นเพียงผู้ที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่นายสุริยันต์ขับขี่เท่านั้น มิได้มีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วยและความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายอันเดียวกัน จึงเป็นกรณีบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งแยกจากกันชำระหนี้มิได้ ผู้ทำละเมิดทุกคนต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำละเมิดนั้นต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 301 ประกอบด้วยมาตรา 291 ส่วนการที่ผู้ทำละเมิดแต่ละคนจะรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นมากน้อยเพียงใดเป็นเรื่องระหว่างผู้ทำละเมิดด้วยกันเอง เทียบกับคำพิพากษาฎีกาที่ 382/2529 ระหว่างนางสาวชุลีพร กรศรีสวัสดิ์ กับพวกโจทก์ นายพนอ นพคุณ กับพวกจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เต็มจำนวนเงิน 40,000 บาทชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 301
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46

ผู้พิพากษา
จรัส อุดมวรชาติ
ไมตรี กลั่นนุรักษ์
สถิตย์ เล็งไธสง

แหล่งที่มา: เนติบัณฑิตยสภา


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ