แชร์

จอดรถในเวลากลางคืนโดยไม่ให้สัญญาไฟ ถือว่าประมาทด้วยกัน

อัพเดทล่าสุด: 29 พ.ค. 2024
376 ผู้เข้าชม

จอดรถในเวลากลางคืนโดยไม่ให้สัญญาไฟ ถือว่าประมาทด้วยกัน เห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีความประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ศาลล่างทั้งสองให้ค่าสินไหมทดแทนอันจะพึงใช้แก่กันเป็นพับชอบแล้ว ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นต่อไป ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 542/2527

คำพิพากษาย่อสั้น
     ยางรถยนต์บรรทุกแตก คนขับจึงจอดรถบนผิวจราจรถนนที่เป็นทางตรงในเวลากลางคืนโดยไม่ให้สัญญาณไฟ แสงไฟสูงของรถเก๋งส่องได้ไกลไม่น้อยกว่า 50 เมตร การที่เพิ่งเริ่มมีรอยห้ามล้อของรถเก๋งในระยะห่างรถบรรทุกประมาณ 30 เมตร แสดงว่าคนขับรถเก๋งซึ่งขับด้วยความเร็วสูง เห็นรถบรรทุกในระยะกระชั้นชิด เหตุที่รถชนกันจึงเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถยนต์บรรทุกด้วยดังนี้ ทั้งสองฝ่ายมีความประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ค่าสินไหมทดแทนอันจะพึงใช้แก่กันจึงเป็นพับทั้งสองฝ่าย 

คำพิพากษาย่อยาว
     ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ทางพิจารณาข้อเท็จจริงในเบื้องต้นได้ความว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2521 นายสง่า ศิริกุล ได้นำรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน จ.บ. 11039 ไปประกันภัยไว้กับโจทก์ ทุนประกัน 100,000.00 บาท กำหนดเวลาคุ้มครอง 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2521 เป็นต้นไป จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถเก๋งยี่ห้อเบ๊นซ์ คันหมายเลขทะเบียน 9 ข - 6199 วันที่ 8 เมษายน 2522 เวลาประมาณ 4.30 นาฬิกา นายสมหมาย กำจัดภัย ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถเก๋งคันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วยความประมาท โดยขับด้วยความเร็วสูงชนท้ายรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน จ.บ. 11039 ซึ่งจอดอยู่ริมถนนด้านซ้ายมือ ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ท้ายรถยนต์บรรทุกและรถเก๋ง นายสมหมายและหญิงคนหนึ่งซึ่งโดยสารมาในรถเก๋งถึงแก่กรรม ร้อยตำรวจเอกธำรง สาริกัลยะเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองระยอง ไปดูที่เกิดเหตุและถ่ายรูปที่ชนกันไว้ตามภาพถ่ายหมาย จ.2 มีรอยห้ามล้อของรถเก๋งก่อนที่จะชนรถยนต์บรรทุก
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาข้อแรกที่ต้องวินิจฉัยมีว่า เหตุที่รถชนกันเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถยนต์บรรทุกด้วยหรือไม่เพียงใด นายวิทยา อาศัย ซึ่งเป็นตัวแทนประกันภัยของบริษัทโจทก์ประจำจังหวัดระยอง เบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 8 นาฬิกา ผู้ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปแจ้งต่อพยานว่า รถคันที่เขาขับบรรทุกข้าวโพดเต็มคันรถ เมื่อไปถึงตำบลทับมา ห่างจากจังหวัดระยอง 3-4 กิโลเมตร ยางรถแตกเขาจอดรถไว้ข้างทางและติดไฟไว้ ขณะกำลังเปลี่ยนยางก็มีรถเก๋งแล่นมาชนท้ายรถคันที่เขาขับ พยานพร้อมด้วยนายสมศักดิ์พนักงานอุบัติเหตุของโจทก์ไปดูที่เกิดเหตุพบรถยนต์บรรทุกจอดอยู่บนไหล่ทางด้านซ้าย ส่วนรถเก๋งมีผู้ยกไปจอดไว้ข้างทางด้านขวา ร้อยตำรวจเอกธำรงบอกพยานว่ารถเก๋งขับมาเร็วมาก สงสัยว่าคนขับจะหลับในแต่ตามภาพถ่ายหมาย จ.2 ภาพที่ 3 แสดงว่าขณะเกิดเหตุรถยนต์บรรทุกจอดอยู่บนผิวจราจร มิใช่จอดอยู่บนไหล่ถนนตามที่โจทก์บรรยายฟ้องและตามที่นายวิทยาเบิกความ การที่ปรากฏรอยห้ามล้อของรถเก๋งก่อนที่จะชนรถยนต์บรรทุกก็แสดงว่าคนขับรถเก๋งไม่ได้หลับใน เพราะหากคนขับรถเก๋งหลับในก็จะไม่สามารถห้ามล้อได้ ส่วนจำเลยที่ 1 เบิกความว่าขณะเกิดเหตุรถยนต์บรรทุกไม่ได้เปิดสัญญาณไฟและหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2 เบิกความว่า บริเวณที่เกิดเหตุเป็นทางตรง ถ้าคนขับรถยนต์บรรทุกเปิดไฟท้ายไว้ นายสมหมายคนขับรถเก๋งจะสามารถเห็นได้ในระยะไกล ทั้งไฟสูงของรถเก๋งส่องได้ไกลถึง 50 เมตร รอยห้ามล้อของรถเก๋งตามภาพถ่ายหมาย จ.2 ยาว 30 เมตรแสดงว่านายสมหมายเห็นรถยนต์บรรทุกในระยะกระชั้นชิด คำ.ให้การของหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวมีร้อยตำรวจเอกธำรง พยานโจทก์เบิกความสนับสนุนว่าบริเวณที่เกิดเหตุถนนเป็นทางตรงในเวลากลางคืน ถ้ารถยนต์เบนซ์ เปิดไฟสูงอาจมองเห็นสิ่งกีดขวางข้างหน้าได้ประมาณ 200 เมตร ศาลฎีกาเห็นว่ารถยนต์บรรทุกจอดอยู่บนผิวจราจรในเวลากลางคืนและในบริเวณที่เกิดเหตุไม่มีแสงสว่างส่องไปถึงให้เห็นรถยนต์คันดังกล่าวได้ในระยะไกลห้าสิบเมตร ผู้ขับรถยนต์บรรทุกต้องเปิดหรือจุดไฟให้มีแสงพอให้เห็นว่ารถนั้นจอดอยู่ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2477 มาตรา 23 วรรคแรก ข้อที่ว่าผู้ขับรถยนต์บรรทุกได้เปิดหรือจุดไฟไว้หรือไม่นั้นโจทก์มีนายวิทยาเพียงคนเดียวที่เบิกความว่าผู้ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุแจ้งต่อพยานว่า ขณะจอดรถไว้ข้างทางเขาติดไฟไว้ ประกอบกับบริเวณที่เกิดเหตุถนนเป็นทางตรงและแสงไฟสูงของรถเก๋งสามารถส่องได้ไกลไม่น้อยกว่า 50 เมตร ถ้าหากรถยนต์บรรทุกให้สัญญาณไฟไว้ นายสมหมายก็คงจะเห็นรถยนต์บรรทุกได้ในระยะไกลพอสมควรและสามารถห้ามล้อรถให้หยุดได้ทันท่วงที การที่เพิ่งมีรอยห้ามล้อของรถเก๋งในระยะห่างรถยนต์บรรทุกประมาณ 30 เมตร แสดงว่านายสมหมายเห็นรถยนต์บรรทุกในระยะกระชั้นชิด ข้อเท็จจริงเชื่อว่ารถยนต์บรรทุกไม่ได้ให้สัญญาณไฟไว้ เหตุที่รถชนกันจึงเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถยนต์บรรทุกด้วย เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ของนายสมหมายและผู้ขับรถยนต์บรรทุกแล้ว เห็นว่า ทั้งสองฝ่ายมีความประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ศาลล่างทั้งสองให้ค่าสินไหมทดแทนอันจะพึงใช้แก่กันเป็นพับชอบแล้ว ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นต่อไป ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 223
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442

ผู้พิพากษา
อาจ ปัญญาดิลก
ไพศาล สว่างเนตร
ดำรง สายเชื้อ 

แหล่งที่มา: เนติบัณฑิตยสภา


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ