ขับรถเลี้ยวขวาไม่ชิดทางด้านขวาสุด ถือว่ามีส่วนประมาทร่วม
อัพเดทล่าสุด: 6 มิ.ย. 2024
664 ผู้เข้าชม
ขับรถเลี้ยวขวาไม่ชิดทางด้านขวาสุด ถือว่ามีส่วนประมาทร่วม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3356-3358/2529
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5 ต่างขับรถชนกันโดยประมาท แต่เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 5 ก่อน จึงให้จำเลยที่5 รับผิดสองในสามส่วนให้จำเลยที่ 1 รับผิดหนึ่งในสามส่วนและเมื่อหักกลบลบกันแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 5 จะต้องรับผิดมีมากกว่า จึงสมควรให้ค่าเสียหายที่จำเลยที่ 5 ฟ้องเรียกจากจำเลยที่ 1 เป็นพับ
รถที่จำเลยที่ 1 ขับเป็นของจำเลยที่ 3 มอบให้จำเลยที่ 2 ใช้จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ได้รับเงินเดือนจากจำเลยที่ 2 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1ขับรถของจำเลยที่ 3 นำบุตรของจำเลยที่ 2 ไปส่งโรงเรียนซึ่งมิใช่กิจการของจำเลยที่ 3การกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 จึงมิใช่การกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่1 ที่ 2
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิดไปจนกว่าจะชำระเสร็จหาได้ไม่เพราะเป็นการเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142 ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวนศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาและพิพากษาให้เรียกนายไชย ตันติกุลานันท์ ว่าโจทก์ นายวรการ ทรงคุ้มครอง ว่าจำเลยที่ 1 นางสาวประไพเหตระกูล ว่าจำเลยที่ 2 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ว่าจำเลยที่ 3 บริษัทประกันคุ้มภัยจำกัด ว่า จำเลยที่ 4 และพันเอกเชาว์ เผือกใจแผ้ว ว่าจำเลยที่ 5
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์เก๋งส่วนบุคคลหมายเลขทะเบียน 2ข-3193 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์เก๋งส่วนบุคคลคันหมายเลขทะเบียน 2ง-2094 กรุงเทพมหานครและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2523 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในทางการที่จ้างและตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไปตามถนนวิทยุ จากสี่แยกวิทยุไปทางสี่แยกเพลินจิตและขับอยู่ในช่องกลางถนนขณะเดียวกันจำเลยที่ 5 ขับรถยนต์เก๋งคันหมายเลขทะเบียน 3ค-2722 กรุงเทพมหานคร ในช่องทางซ้ายมือโฉมหน้าไปทางเดียวกัน เมื่อถึงบริเวณหน้าสถานทูตอเมริกัน จำเลยที่ 1 และที่ 5 ขับรถด้วยความประมาท จำเลยที่ 5 ขับรถเลี้ยวขวาเข้าไปในสถานทูตอเมริกัน จำเลยที่ 1 ขับรถไปในช่องทางขวาชิดเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนด้วยความเร็วสูง จึงหักรถและแซงรถที่จำเลยที่ 5 ขับไม่พ้น เป็นเหตุให้รถเฉี่ยวชนกันรถที่จำเลยที่ 1 ขับเสียหลักไปเฉี่ยวชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2ค-1695 กรุงเทพมหานคร ซึ่งแล่นสวนทางมาแล้วเลยไปชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2ข-3193 กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์ขับตามหลังมา รถโจทก์กระเด็นไปชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 9ค-6335 กรุงเทพมหานคร ซึ่งกระเด็นไปถูกรถยนต์เก๋งรับจ้างสาธารณะหมายเลขทะเบียน 2ท-2441 กรุงเทพมหานครอีกทอดหนึ่งความประมาทของจำเลยที่ 1 ที่ 5 ทำให้โจทก์เสียหายรวม 54,000 บาท จำเลยที่ 2 ที่ 3 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 54,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ให้การเป็นใจความว่า จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลและเป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2ง-2094 แต่ผู้เดียว จำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนด้วยจำเลยที่ 1 มิใช่ลูกจ้างขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 5 ฝ่ายเดียว จำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับรถเร็วและไม่ได้ประมาทจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อกระทำต่อจำเลยที่ 5 และโจทก์ จำเลยที่ 5 จึงไม่ต้องรับผิด
สำนวนที่สอง จำเลยที่ 5 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 เป็นจำเลยว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ขับรถด้วยความเร็วสูงและประมาทชนรถของจำเลยที่ 5 เสียหายรวมทั้งสิ้น 34,379 บาท 40 สตางค์ ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยที่ 1ที่ 3 ที่ 4 ให้ร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายจำนวน 34,379 บาท 40 สตางค์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิใช่ลูกจ้างขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 และมิได้ขับรถโดยประมาท เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 5ที่ขับรถเลี้ยวขวากระทันหันและกระชั้นชิด
สำนวนที่สาม จำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 5 ว่าขับรถด้วยความประมาทจึงเกิดชนกับรถจำเลยที่ 3 เป็นเหตุให้รถกระเด็นไปถูกรถคันอื่นเสียหาย รวมค่าเสียหายของจำเลยที่ 3 เป็นเงิน 44,000 บาท จำเลยที่ 4 จ่ายค่าซ่อมรถไปแทน 42,566 บาทขอให้พิพากษาให้จำเลยที่ 5 ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 3 พร้อมทั้งดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 45,714 บาท กับใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องแก่จำเลยที่ 4 เป็นเงิน43,561 บาท และให้ใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 44,000 บาทแก่จำเลยที่ 3 และในต้นเงิน 42,566 บาท แก่จำเลยที่ 4 นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 5 ให้การว่าจำเลยที่ 5 มิได้ขับรถโดยประมาท เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 และขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของแต่มิใช่นายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยก็ไม่ต้องรับผิดด้วยพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชดใช้เงินแก่โจทก์ 54,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3ที่ 4 ที่ 5 ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินแก่จำเลยที่ 5 เป็นจำนวน 24,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 5 มีส่วนประมาทอยู่ด้วยและประมาทมากกว่าจำเลยที่ 1 ความประมาทของจำเลยที่ 5 มีสองในสามส่วน ของจำเลยที่ 1 มีหนึ่งในสามส่วน และค่าเสียหายของโจทก์เป็นเงิน 39,000 บาท พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1ที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 13,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 5 เป็นเงิน 7,850 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันละเมิดไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 5 ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 3 เป็นเงิน 6,000 บาท ชำระแก่จำเลยที่ 4 เป็นเงิน 19,333 บาท32 สตางค์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยในต้นเงินที่จะต้องชำระดังกล่าวนับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งห้าฎีกา
ในปัญหาที่ว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 5หรือทั้งสองฝ่าย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่าจำเลยที่ 5 ต้องการขับรถเลี้ยวขวาจากถนนวิทยุเข้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา จึงต้องขับรถชิดทางด้านขวาสุดของทางเดินรถก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อยกว่าสามสิบเมตรตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 51(2) แต่จำเลยที่ 5 กลับขับรถไปในช่องเดินรถซ้ายสุดแล้วไปหยุดรอเลี้ยวขวาอยู่ที่หัวเกาะกลางถนน จำเลยที่ 5 ยังเบิกความว่าขณะที่เลี้ยวรถเข้าสถานทูตไม่เห็นรถของจำเลยที่ 1 เพราะไม่ได้หันไปดู จ่าสิบตำรวจประสงค์ เหรียญประชา เบิกความว่า ได้ห้ามรถที่แล่นมาจากทางถนนเพลินจิตให้หยุดด้านเดียว ยังมิได้ห้ามรถด้านที่มาจากทางสวนลุมพินี จำเลยที่ 5 ก็เคลื่อนรถเลี้ยวออกมา พฤติการณ์ของจำเลยที่ 5 จึงเป็นการขับรถโดยประมาท และโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น ส่วนจำเลยที่ 1 เบิกความว่าขับรถเร็วประมาณ 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อเห็นจำเลยที่ 5 เลี้ยวรถออกมา จำเลยที่ 1 หักรถหลบไปทางขวาแล้วหักไปทางด้านซ้ายโดยมิได้เหยียบห้ามล้อ เหยียบแต่คันเร่งจึงเฉี่ยวชนรถยนต์ของจำเลยที่ 5 ที่กันชนและบังโคลนหน้าขวาแล้วเลยไปเฉี่ยวชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2ค-1695 กรุงเทพมหานคร แล้วไปชนรถยนต์ของโจทก์เต็มหน้ารถเป็นเหตุให้รถยนต์โจทก์กระดอนไปชนรถที่หยุดอยู่ข้างหลังจนรถคันนี้กระดอนไปชนรถแท็กซี่อีกคันหนึ่งทั้งจำเลยที่ 1 ก็ยอมรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนว่าขับรถโดยประมาทจริง จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทด้วย เมื่อเหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 5 ก่อนที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยที่ 5 รับผิดสองในสามส่วน จำเลยที่ 1 รับผิดหนึ่งในสามส่วนศาลฎีกาจึงเห็นว่าเหมาะสมแล้ว ฎีกาของโจทก์จำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ในปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 หรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเห็นว่าแม้รถคันที่จำเลยที่ 1 ขับจะเป็นของจำเลยที่ 3 แต่ไม่มีหลักฐานว่าจำเลยที่ 3 สั่งให้จำเลยที่ 1 ขับรถในวันเกิดเหตุ นายชาลี หนูสุวรรณ เบิกความตรงกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นครูโรงเรียนอนุบาลแสงวิทย์ ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของโรงเรียนนี้ จำเลยที่ 1 ขับลรถคันเกิดเหตุให้จำเลยที่ 2 และไม่ได้รับเงินเดือนจากบริษัทจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 เบิกความสอดคล้องกับจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้รับเงินเดือนจากจำเลยที่ 2 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถนำบุตรของจำเลยที่ 2ไปส่งที่โรงเรียรมาแตร์ซึ่งมิใช่กิจการของบริษัทจำเลยที่ 3 การกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1จึงมิใช่การกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาว่า จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ที่ 2 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 5 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ในปัญหาเกี่ยวกับดอกเบี้ย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้นในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดไปจนกว่าจะชำระเสร็จหาได้ไม่ เพราะเป็นการเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ และโดยที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยที่ 5 รับผิดสองในสามส่วน จำเลยที่ 1รับผิดหนึ่งในสามส่วน เมื่อหักกลบลบกันแล้วส่วนที่จำเลยที่ 5 จะต้องรับผิดมีมากกว่าจึงสมควรให้ค่าเสียหายของจำเลยที่ 5 เป็นต้นไป ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 5 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 13,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง(3 กรกฎาคม 2523) จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5 ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 223
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ผู้พิพากษา
อำนวย อินทุภูติ
สุชาติ จิวะชาติ
เสรี แสงศิลป์
แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3356-3358/2529
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5 ต่างขับรถชนกันโดยประมาท แต่เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 5 ก่อน จึงให้จำเลยที่5 รับผิดสองในสามส่วนให้จำเลยที่ 1 รับผิดหนึ่งในสามส่วนและเมื่อหักกลบลบกันแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 5 จะต้องรับผิดมีมากกว่า จึงสมควรให้ค่าเสียหายที่จำเลยที่ 5 ฟ้องเรียกจากจำเลยที่ 1 เป็นพับ
รถที่จำเลยที่ 1 ขับเป็นของจำเลยที่ 3 มอบให้จำเลยที่ 2 ใช้จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ได้รับเงินเดือนจากจำเลยที่ 2 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1ขับรถของจำเลยที่ 3 นำบุตรของจำเลยที่ 2 ไปส่งโรงเรียนซึ่งมิใช่กิจการของจำเลยที่ 3การกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 จึงมิใช่การกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่1 ที่ 2
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิดไปจนกว่าจะชำระเสร็จหาได้ไม่เพราะเป็นการเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142 ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวนศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาและพิพากษาให้เรียกนายไชย ตันติกุลานันท์ ว่าโจทก์ นายวรการ ทรงคุ้มครอง ว่าจำเลยที่ 1 นางสาวประไพเหตระกูล ว่าจำเลยที่ 2 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ว่าจำเลยที่ 3 บริษัทประกันคุ้มภัยจำกัด ว่า จำเลยที่ 4 และพันเอกเชาว์ เผือกใจแผ้ว ว่าจำเลยที่ 5
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์เก๋งส่วนบุคคลหมายเลขทะเบียน 2ข-3193 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์เก๋งส่วนบุคคลคันหมายเลขทะเบียน 2ง-2094 กรุงเทพมหานครและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2523 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในทางการที่จ้างและตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไปตามถนนวิทยุ จากสี่แยกวิทยุไปทางสี่แยกเพลินจิตและขับอยู่ในช่องกลางถนนขณะเดียวกันจำเลยที่ 5 ขับรถยนต์เก๋งคันหมายเลขทะเบียน 3ค-2722 กรุงเทพมหานคร ในช่องทางซ้ายมือโฉมหน้าไปทางเดียวกัน เมื่อถึงบริเวณหน้าสถานทูตอเมริกัน จำเลยที่ 1 และที่ 5 ขับรถด้วยความประมาท จำเลยที่ 5 ขับรถเลี้ยวขวาเข้าไปในสถานทูตอเมริกัน จำเลยที่ 1 ขับรถไปในช่องทางขวาชิดเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนด้วยความเร็วสูง จึงหักรถและแซงรถที่จำเลยที่ 5 ขับไม่พ้น เป็นเหตุให้รถเฉี่ยวชนกันรถที่จำเลยที่ 1 ขับเสียหลักไปเฉี่ยวชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2ค-1695 กรุงเทพมหานคร ซึ่งแล่นสวนทางมาแล้วเลยไปชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2ข-3193 กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์ขับตามหลังมา รถโจทก์กระเด็นไปชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 9ค-6335 กรุงเทพมหานคร ซึ่งกระเด็นไปถูกรถยนต์เก๋งรับจ้างสาธารณะหมายเลขทะเบียน 2ท-2441 กรุงเทพมหานครอีกทอดหนึ่งความประมาทของจำเลยที่ 1 ที่ 5 ทำให้โจทก์เสียหายรวม 54,000 บาท จำเลยที่ 2 ที่ 3 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 54,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ให้การเป็นใจความว่า จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลและเป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2ง-2094 แต่ผู้เดียว จำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนด้วยจำเลยที่ 1 มิใช่ลูกจ้างขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 5 ฝ่ายเดียว จำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับรถเร็วและไม่ได้ประมาทจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อกระทำต่อจำเลยที่ 5 และโจทก์ จำเลยที่ 5 จึงไม่ต้องรับผิด
สำนวนที่สอง จำเลยที่ 5 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 เป็นจำเลยว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ขับรถด้วยความเร็วสูงและประมาทชนรถของจำเลยที่ 5 เสียหายรวมทั้งสิ้น 34,379 บาท 40 สตางค์ ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยที่ 1ที่ 3 ที่ 4 ให้ร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายจำนวน 34,379 บาท 40 สตางค์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิใช่ลูกจ้างขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 และมิได้ขับรถโดยประมาท เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 5ที่ขับรถเลี้ยวขวากระทันหันและกระชั้นชิด
สำนวนที่สาม จำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 5 ว่าขับรถด้วยความประมาทจึงเกิดชนกับรถจำเลยที่ 3 เป็นเหตุให้รถกระเด็นไปถูกรถคันอื่นเสียหาย รวมค่าเสียหายของจำเลยที่ 3 เป็นเงิน 44,000 บาท จำเลยที่ 4 จ่ายค่าซ่อมรถไปแทน 42,566 บาทขอให้พิพากษาให้จำเลยที่ 5 ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 3 พร้อมทั้งดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 45,714 บาท กับใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องแก่จำเลยที่ 4 เป็นเงิน43,561 บาท และให้ใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 44,000 บาทแก่จำเลยที่ 3 และในต้นเงิน 42,566 บาท แก่จำเลยที่ 4 นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 5 ให้การว่าจำเลยที่ 5 มิได้ขับรถโดยประมาท เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 และขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของแต่มิใช่นายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยก็ไม่ต้องรับผิดด้วยพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชดใช้เงินแก่โจทก์ 54,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3ที่ 4 ที่ 5 ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินแก่จำเลยที่ 5 เป็นจำนวน 24,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 5 มีส่วนประมาทอยู่ด้วยและประมาทมากกว่าจำเลยที่ 1 ความประมาทของจำเลยที่ 5 มีสองในสามส่วน ของจำเลยที่ 1 มีหนึ่งในสามส่วน และค่าเสียหายของโจทก์เป็นเงิน 39,000 บาท พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1ที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 13,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 5 เป็นเงิน 7,850 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันละเมิดไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 5 ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 3 เป็นเงิน 6,000 บาท ชำระแก่จำเลยที่ 4 เป็นเงิน 19,333 บาท32 สตางค์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยในต้นเงินที่จะต้องชำระดังกล่าวนับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งห้าฎีกา
ในปัญหาที่ว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 5หรือทั้งสองฝ่าย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่าจำเลยที่ 5 ต้องการขับรถเลี้ยวขวาจากถนนวิทยุเข้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา จึงต้องขับรถชิดทางด้านขวาสุดของทางเดินรถก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อยกว่าสามสิบเมตรตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 51(2) แต่จำเลยที่ 5 กลับขับรถไปในช่องเดินรถซ้ายสุดแล้วไปหยุดรอเลี้ยวขวาอยู่ที่หัวเกาะกลางถนน จำเลยที่ 5 ยังเบิกความว่าขณะที่เลี้ยวรถเข้าสถานทูตไม่เห็นรถของจำเลยที่ 1 เพราะไม่ได้หันไปดู จ่าสิบตำรวจประสงค์ เหรียญประชา เบิกความว่า ได้ห้ามรถที่แล่นมาจากทางถนนเพลินจิตให้หยุดด้านเดียว ยังมิได้ห้ามรถด้านที่มาจากทางสวนลุมพินี จำเลยที่ 5 ก็เคลื่อนรถเลี้ยวออกมา พฤติการณ์ของจำเลยที่ 5 จึงเป็นการขับรถโดยประมาท และโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น ส่วนจำเลยที่ 1 เบิกความว่าขับรถเร็วประมาณ 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อเห็นจำเลยที่ 5 เลี้ยวรถออกมา จำเลยที่ 1 หักรถหลบไปทางขวาแล้วหักไปทางด้านซ้ายโดยมิได้เหยียบห้ามล้อ เหยียบแต่คันเร่งจึงเฉี่ยวชนรถยนต์ของจำเลยที่ 5 ที่กันชนและบังโคลนหน้าขวาแล้วเลยไปเฉี่ยวชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2ค-1695 กรุงเทพมหานคร แล้วไปชนรถยนต์ของโจทก์เต็มหน้ารถเป็นเหตุให้รถยนต์โจทก์กระดอนไปชนรถที่หยุดอยู่ข้างหลังจนรถคันนี้กระดอนไปชนรถแท็กซี่อีกคันหนึ่งทั้งจำเลยที่ 1 ก็ยอมรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนว่าขับรถโดยประมาทจริง จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทด้วย เมื่อเหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 5 ก่อนที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยที่ 5 รับผิดสองในสามส่วน จำเลยที่ 1 รับผิดหนึ่งในสามส่วนศาลฎีกาจึงเห็นว่าเหมาะสมแล้ว ฎีกาของโจทก์จำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ในปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 หรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเห็นว่าแม้รถคันที่จำเลยที่ 1 ขับจะเป็นของจำเลยที่ 3 แต่ไม่มีหลักฐานว่าจำเลยที่ 3 สั่งให้จำเลยที่ 1 ขับรถในวันเกิดเหตุ นายชาลี หนูสุวรรณ เบิกความตรงกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นครูโรงเรียนอนุบาลแสงวิทย์ ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของโรงเรียนนี้ จำเลยที่ 1 ขับลรถคันเกิดเหตุให้จำเลยที่ 2 และไม่ได้รับเงินเดือนจากบริษัทจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 เบิกความสอดคล้องกับจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้รับเงินเดือนจากจำเลยที่ 2 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถนำบุตรของจำเลยที่ 2ไปส่งที่โรงเรียรมาแตร์ซึ่งมิใช่กิจการของบริษัทจำเลยที่ 3 การกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1จึงมิใช่การกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาว่า จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ที่ 2 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 5 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ในปัญหาเกี่ยวกับดอกเบี้ย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้นในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดไปจนกว่าจะชำระเสร็จหาได้ไม่ เพราะเป็นการเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ และโดยที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยที่ 5 รับผิดสองในสามส่วน จำเลยที่ 1รับผิดหนึ่งในสามส่วน เมื่อหักกลบลบกันแล้วส่วนที่จำเลยที่ 5 จะต้องรับผิดมีมากกว่าจึงสมควรให้ค่าเสียหายของจำเลยที่ 5 เป็นต้นไป ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 5 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 13,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง(3 กรกฎาคม 2523) จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5 ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 223
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ผู้พิพากษา
อำนวย อินทุภูติ
สุชาติ จิวะชาติ
เสรี แสงศิลป์
แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
บทความที่เกี่ยวข้อง