ค่ารักษาค่าขาเทียมค่าเสียความสามารถในการงานค่าเสียหายอย่างอื่นมิใช่ตัวเงิน

ค่ารักษาค่าขาเทียมค่าเสียความสามารถในการงานค่าเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินเรียกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 67/2539
คำพิพากษาย่อสั้น
การที่จำเลยที่2 ขับรถบรรทุกในเวลากลางคืนบรรทุกรถแทรกเตอร์ใบมีดจานไถของรถแทรกเตอร์ยื่นล้ำออกมานอกตัวรถบรรทุกจำเลยที่2จะต้องติดไฟสัญญาณตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา11,15กฎกระทรวงและข้อกำหนดของกรมตำรวจแต่จำเลยที่2มิได้กระทำเป็นการฝ่าฝืนบทกฎหมายดังกล่าวซึ่งเป็นกฎหมายที่มีความประสงค์จะปกป้องบุคคลอื่นๆต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยที่2 เป็นฝ่ายผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา422 จำเลยที่4 ขับรถในเวลากลางคืนลงเนินซึ่งความเร็วของรถต้องเพิ่มขึ้นขณะที่มีแสงไฟของรถแล่นสวนมาเห็นได้ไกลจำเลยที่4 จะต้องระวังเพิ่มขึ้นโดยลดความเร็วแต่จำเลยที่4 ยังขับต่อไปด้วยความเร็วสูงจนเกิดอุบัติเหตุชนกับใบมีดรถแทรกเตอร์ที่จำเลยที่2 ขับมาจึงเป็นความประมาทของจำเลยที่4 ด้วย ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดในกรณีที่ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสและทุพพลภาพได้แก่ค่ารักษาพยาบาลค่าขาเทียมค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานทั้งในปัจจุบันและอนาคตตามมาตรา444 และค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตามมาตรา446 วรรคหนึ่งได้แก่ค่าที่ต้องทุพพลภาพพิการตลอดชีวิตต้องทรมานร่างกายและจิตใจนอกจากนี้หากทรัพย์สินหายจากการกระทำละเมิดก็มีสิทธิได้รับชดใช้อีกต่างหาก จำเลยที่2และที่4ต่างฝ่ายต่างทำละเมิดโดยมิได้ร่วมกันแต่ละฝ่ายจึงไม่ต้องร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดแก่โจทก์คงรับผิดเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองและใช้รถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 84-0375 กรุงเทพมหานคร และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 เป็นผู้ครอบครองและใช้รถโดยสารปรับอากาศหมายเลขทะเบียน 10-8314 กรุงเทพมหานคร และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 4 ส่วนจำเลยที่ 5 เป็นผู้ได้รับสัมปทานการเดินรถโดยสารประกอบการขนส่งคนโดยสาร โดยรับรถยนต์ของจำเลยที่ 3 เข้าร่วมขนคนโดยสารหาประโยชน์ร่วมกันเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2527 โจทก์โดยสารรถโดยสารปรับอากาศหมายเลขทะเบียน 10-8314 กรุงเทพมหานคร จากกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดภูเก็ตโดยมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้ขับรถโดยสารปรับอากาศคันดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 5 ไปตามถนนเพชรเกษม จำเลยที่ 2 ขับ รถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 84-0375 กรุงเทพมหานคร ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 บรรทุกรถแทรกเตอร์จากจังหวัดพังงามุ่งหน้าไปยังกรุงเทพมหานครแล่นสวนทางมา ต่างขับรถยนต์ ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังโดยจำเลยที่ 4 ขับรถโดยสารปรับอากาศด้วยความ เร็วสูงและแล่นปัดไปมา จำเลยที่ 2 ขับรถบรรทุกซึ่งบรรทุกรถแทรกเตอร์ล้ำออกนอกตัวรถและล้ำแนวกึ่งกลางถนนโดยไม่ได้ให้สัญญาณไฟเป็นเหตุให้ใบมีดจานไถของรถแทรกเตอร์ซึ่งอยู่บนรถบรรทุกคันที่จำเลยที่ 2 ขับเฉี่ยวชนถูกด้านขวาของรถโดยสารปรับอากาศที่จำเลยที่ 4 ขับด้านขวาทำให้ โจทก์และผู้โดยสารหลายคนได้รับอันตรายสาหัสและถึงแก่ความตายโดยโจทก์ได้รับบาดเจ็บต้องทำการตัดขาขวาเหนือเข่าทิ้งเสียค่ารักษาพยาบาลไปรวมทั้งสิ้น 110,147 บาท และต้องใส่ขาเทียมเสียเงินไป 53,000 บาท ทรัพย์สินโจทก์เสียหายไปเป็นเงิน 17,000 บาทโจทก์มีอาชีพเป็นนักข่าวต้องเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่สามารถประกอบการงานใน ลักษณะเดิมอีกต่อไปได้คิดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 300,000 บาทและโจทก์ต้องเป็นคนพิการตลอดชีวิตได้รับความเสียหายต่อร่างกายและจิตใจไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างคนปกติคิด ค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 300,000 บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 780,147 บาท จำเลยทั้งห้าต้องร่วมกันชดใช้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันละเมิดจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 58,511 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 838,658 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 838,658 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 780,147 บาท จนกว่าจะชำระเสร็จจำเลยที่ 1 ให้การว่าใบมีดจานไถของรถแทรกเตอร์มิได้ยื่นล้ำออกมานอกตัวถังรถบรรทุกและล้ำเส้นกึ่งกลางถนน เหตุเกิดจากจำเลยที่ 4 ขับรถโดยสารปรับอากาศล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้ามาในช่องเดินรถของจำเลยที่ 2 ด้วยความเร็วสูงแซงรถยนต์อีกคันหนึ่งอย่างกระชั้นชิดแล้วหักหลบเข้าช่องเดินรถของตนไม่ทัน จำเลยที่ 2 มิได้ มีส่วนประมาทด้วยค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 50,000 บาท ขาเทียมราคาไม่เกิน 5,000 บาท ของโจทก์ไม่ได้สูญหายจากเหตุละเมิดจำเลย ที่ 1 จึง ไม่ต้องรับผิดและราคาทรัพย์สินของโจทก์ไม่เกิน 3,000 บาท โจทก์ได้รับการรักษาพยาบาลจนหายขาดทำงานอาชีพนักข่าวได้และสามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป จึงไม่สูญเสียความสามารถในการประกอบการงาน ส่วนความเสียหายทางด้านจิตใจโจทก์ไม่อาจเรียกร้องได้ตามกฎหมายขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 3 ให้การว่าเหตุเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ที่ขับรถเลยเส้นกึ่งกลางถนนเป็นเหตุให้ใบมีดจานไถแทรกเตอร์ที่ยื่นล้ำโดยไม่ได้ติดโคมไฟให้สัญญาณและไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจรตามกฎหมายชนรถโดยสารปรับอากาศของจำเลยที่ 3 เสียหายมากค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเป็นเงิน 110,147 บาท จริงหรือไม่จำเลยที่ 3 ไม่รับรอง ขาเทียมราคาไม่เกิน20,000 บาท เมื่อเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจทางหลวงได้เข้าคุ้มครองดูแลไม่ปรากฎว่ามีทรัพย์สินของผู้โดยสารเสียหายหรือสูญหาย โจทก์ไม่นำทรัพย์สินเข้าระวางบรรทุกและแจ้งราคา แก่จำเลยที่ 3 ตามกฎหมายจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด โจทก์ยังมีความสามารถประกอบอาชีพ หากเสียหายก็ไม่เกิน 30,000 บาท โจทก์เรียกค่าไม่สามารถประกอบอาชีพแล้วจะเรียกค่าทุพพลภาพอีกไม่ได้เพราะเป็นการซ้ำซ้อนกัน โจทก์ควรได้รับไม่เกิน 30,000 บาทขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาจำเลยที่ 5 ให้การว่าจำเลยที่ 5 ไม่ได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 4 และไม่เคยรับรถโดยสารปรับอากาศหมายเลขทะเบียน 10-8314กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 3 เข้าร่วมขนคนโดยสารหาผลประโยชน์แบ่งปันกันจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เหตุรถชนเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 เพียงฝ่ายเดียวโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายถึงจำนวนตามที่เรียกร้องมาขอให้ยกฟ้องระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ผู้รับประกันภัยรถบรรทุก หมายเลขทะเบียน 84/0375 กรุงเทพมหานคร เข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาตจำเลยร่วมให้การและแก้ไขคำให้การว่าจำเลยที่ 1 นำรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 84-0375กรุงเทพมหานคร ไปรับจ้างขนส่งรถแทรกเตอร์โดยผิดเงื่อนไขที่ตกลงกับจำเลยร่วมซึ่งระบุว่ารถ ที่จำเลยที่ 1 เอาประกันภัยจะต้องใช้เป็นรถส่วนบุคคลไม่ใช่รับจ้างหรือให้เช่าเหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 4 แต่เพียงฝ่ายเดียว จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาสูงเกินไป บางกรณีไม่มีกฎหมายรับรองให้เรียกร้องได้ อย่างไรก็ ตามจำเลยร่วมจะรับผิดแทนผู้เอาประกันภัยเฉพาะความเสียหายที่เกิดต่อทรัพย์เท่านั้นและมีจำนวนไม่เกิน 25,000 บาท ต่อคนและไม่เกิน 250,000 บาทต่อเหตุที่เกิดขึ้น 1 ครั้ง ขอให้ยกฟ้องจำเลยร่วมขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 5ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์จำนวน 280,147 บาท โดยให้จำเลยที่ 1 และ ที่2ร่วมรับผิดชำระหนี้จำนวน 132,102.62 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีใน ต้นเงิน 119,764.66 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมรับผิดชำระหนี้จำนวน 103,002.44 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 93,382.34 บาท นับแต่วันถัดวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยร่วมรับผิดชำระหนี้จำนวน 71,874.24 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 67,000 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ส่วนที่ขอเกินมาให้ยกเสีย โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่3 ที่4 และ จำเลยร่วม อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 และ ที่ 2 ร่วมรับผิดเพิ่มขึ้นเป็นเงินจำนวน 80,000 บาท และให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และ ที่ 5 ร่วมรับผิดเพิ่มขึ้นเป็นเงิน 40,000 บาท และให้จำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และ ที่ 5 ร่วมรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินที่จะต้องรับผิดข้างต้น นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่3 และ ที่4 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และ ที่ 5 ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 103,002.44 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 93,382.34 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้น ไปจนกว่าจะชำระ เสร็จศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และ ที่ 5 ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เพิ่มขึ้นจำนวน 40,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินที่จะต้องรับผิดเพิ่มขึ้นนับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ เมื่อจำเลยที่ 3 และ ที่ 4 ฎีกาว่าไม่ต้องรับผิดจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของจำเลยที่ 3 และ ที่ 4 จึงมีทุนทรัพย์เพียง 143,002.44 บาท ไม่เกิน 200,000 บาท จำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ 3 และ ที่ 4 ฎีกาว่า เหตุที่รถทั้งสองคันชนกันเพราะจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายขับรถ โดยประมาทเลินเล่อฝ่ายเดียวจำเลยที่ 4 มิได้มีส่วนประมาทเลินเล่อด้วยและฎีกาโต้เถียงเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่ให้จำเลยที่ 3 และ ที่ 4 รับผิดนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยคงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ว่าเหตุที่รถทั้งสองคันชนกันเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 หรือไม่ และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ หรือไม่เพียงใด ปัญหาแรกตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่าเหตุที่รถทั้งสองคันชนกันเพราะจำเลยที่ 2 ขับรถโดยประมาทเลินเล่อด้วยหรือไม่เพียงใดนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 2 ขับรถบรรทุกของจำเลยที่ 1 บรรทุกรถแทรกเตอร์ซึ่งมีใบมีด จานไถ ยาว 3.97 เมตร มาบนรถโดยรถบรรทุกของจำเลยที่ 1 กว้างเพียง 2.50 เมตร ใบมีด จานไถของรถแทรกเตอร์ย่อมยื่นล้ำ ออกมานอกตัวรถบรรทุกของจำเลยที่ 1 เมื่อถนนบริเวณที่เกิดเหตุกว้าง 6 เมตรแบ่งออกเป็นช่องเดินรถสำหรับแล่นสวนกันกว้างข้างละ 3 เมตรโดยมีเส้นประแบ่งครึ่งกลางถนนที่จำเลยที่ 1นำสืบว่าสามารถปรับใบมีด จานไถ ของรถแทรกเตอร์ ให้มีส่วนของใบมีด จานไถ ยื่นออกมานอกตัวรถบรรทุกทางขวามือเพียง 26 เซนติเมตร แม้จะฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 สามารถปรับใบมีด จานไถ ให้เอียงไปทางขวาได้ 25 องศา และปรับแล้วความยาวของใบมีด จานไถ จะเหลือเพียง3.50 เมตร ตามภาพถ่ายหมาย ล. 19 ความยาวของใบมีด จานไถ ก็ยังยาวกว่าความกว้างของรถบรรทุกของจำเลยที่ 1 ประมาณ 1 เมตร ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 1 เมตรนี้จะต้องยื่นล้ำเลยกระบะรถบรรทุกของจำเลยที่ 1 ออกมาทั้งสองข้างอยู่ดี เมื่อขับรถในเวลากลางคืน จำเลยที่ 2 ผู้ขับรถต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 11, 15 กฎกระทรวงและ ข้อกำหนดของกรมตำรวจที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติดังกล่าวที่นายสมบูรณ์ วิสุทธิผล กรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 และนายสนอง ผิวนวล พยานจำเลยที่ 1 เบิกความว่านายสมบูรณ์ ได้ควบคุมการบรรทุกและได้ปรับใบมีด จานไถ ใช้โซ่มัดตัวรถแทรกเตอร์แล้วนำไฟดวง เล็กใส่กระป๋องน้ำมันสีเขียวติดไว้ที่ปลายใบมีดจานไถทั้งสองข้างนั้น จำเลยที่ 4 และนายมานะ คูสกุลรัตน์ พยานจำเลยที่ 3 เบิกความยืนยันว่าในคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ไม่ได้ติดไฟสัญญาณดังกล่าวซึ่งความข้อนี้ได้ความตามคำเบิกความของร้อยตำรวจโทมนูญ สายพิมพ์ พยานคนกลางซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนที่ออกไปตรวจสถานที่เกิดเหตุหลังเกิดเหตุเพียง 1 ชั่วโมง เบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่าไม่พบสายไฟสัญญาณในที่เกิดเหตุและที่ใบมีด จานไถก็ไม่มีโคมไฟติดไว้ ร้อยตำรวจโทมนูญ กระทำการตามหน้าที่ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความ ให้เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด คำเบิกความของร้อยตำรวจโทมนูญ จึงมีน้ำหนักอันควรรับฟัง เมื่อฟังประกอบคำเบิกความของจำเลยที่ 4 และนายมานะแล้วจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ติดไฟสัญญาณตามที่อ้างและเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบกอันเป็นกฎหมายที่มีประสงค์เพื่อจะปกป้องบุคคลอื่น ๆ ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยที่ 2 เป็นฝ่าย ผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 422 นอกจากนี้ปรากฎตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุและแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุว่าบริเวณจุดชนอยู่ในช่องเดินรถโดยสารปรับอากาศเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่อาจนำสืบให้รับฟังหักล้างจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถบรรทุกบรรทุกรถแทรกเตอร์มีใบมีด จานไถ ล้ำออกนอกตัวรถและล้ำเข้าไปในช่องเดินรถโดยสารจึงเป็นการกระทำด้วยความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ด้วยหาใช่จำเลยที่ 4 ขับรถโดยประมาทเลินเล่อฝ่ายเดียวไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ และจำเลยที่ 1 ต่อไปว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใด การที่ โจทก์ต้องสูญเสียขาขวาไป โจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเพราะสูญเสียความสามารถในการประกอบการงานกับค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ต้องตกเป็นคนพิการหรือไม่เพียงใดและจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จะต้องร่วมกัน รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใดนั้น สำหรับค่าใช้จ่ายอันต้องเสียไปที่เป็นค่ารักษาพยาบาล 110,147 บาท ค่าขาเทียม 53,000 บาท คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกา แต่ในส่วนค่าทรัพย์สินของโจทก์เสียหายโจทก์นำสืบว่าทรัพย์สินโจทก์เสียหายไปคิดเป็นเงินจำนวน 17,000 บาท จำเลย ที่ 1 ให้การต่อสู้คดีว่าทรัพย์สินของโจทก์ไม่ได้สูญหายและนำสืบต่อสู้เพียง ลอย ๆ ว่าโจทก์อาจไม่นำทรัพย์สินดังกล่าวติดตัวไปขณะเกิดเหตุย่อมไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบยืนยันได้ ที่ศาลล่างกำหนดค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ให้แก่โจทก์จำนวน 17,000 บาท นั้นชอบแล้ว ส่วนค่าเสียความสามารถในการประกอบการงาน ทั้ง ในปัจจุบันและอนาคตโจทก์เรียกร้องเป็นจำนวน 300,000 บาท ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์100,000 บาทและค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินที่เป็นค่าที่โจทก์ต้องทุพพลภาพพิการตลอดชีวิตต้องทรมานร่างกายและจิตใจโจทก์เรียกร้องมา 300,000 บาท ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ 120,000 บาทนั้น โจทก์อ้างว่ามีจำนวนต่ำไปเพราะโจทก์สำเร็จการศึกษาภาควิชาสื่อสารมวลชนจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขณะเกิดเหตุอายุเพียง 24 ปีประกอบอาชีพเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจรายสัปดาห์ หลังเกิดเหตุโจทก์ถูกตัดขา ข้างขวาและใช้ขาเทียม นายจ้างเปลี่ยนหน้าที่การงานของโจทก์จากนักข่าวให้ทำงานเพียงมี หน้าที่เปิดซองจดหมาย ทำให้โจทก์เสียความก้าวหน้ารวมตลอดทั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพเพิ่มขึ้น หลังเกิดเหตุนั้น เห็นว่าค่าสินไหมทดแทนสองประการหลังนี้โจทก์เรียกร้องได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 444 และ มาตรา 446 วรรค 1 ตามลำดับ หาซ้ำซ้อนกันไม่ แต่ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้มีจำนวนต่ำไปยังไม่เหมาะสมจึงกำหนดค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์เสียความสามารถในการประกอบการงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต 150,000 บาท และค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นที่มิใช่ตัวเงินเป็นเงิน 160,000 บาท รวมเป็นค่าสินไหมทดแทนของโจทก์รวมทั้งสิ้น 490,147 บาท ส่วนปัญหาว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จะต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์โดยไม่แยกความรับผิดเป็น 2 ฝ่ายหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงในส่วนของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าเมื่อเกิดเหตุและจำเลยที่ 4 ห้ามล้อแล้ว รถโดยสารปรับอากาศที่จำเลยที่ 4 ขับยังคงมีความเร็ว 30 ถึง 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอัตราความเร็วของรถก่อนที่จำเลยที่ 4 จะห้ามล้อต้องมากกว่าที่ห้ามล้อแล้วซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยที่ 4 ขับรถโดยสารปรับอากาศด้วยความเร็วสูงดังที่โจทก์เบิกความ เมื่อ จำเลยที่ 4 ขับรถโดยสารปรับอากาศในเวลากลางคืนและขับลงเนินซึ่งความเร็วของรถยนต์จะต้องเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ขณะเดียวกันมีแสงไฟของรถยนต์ที่สวนมาเห็นได้ไกล จำเลยที่ 4 จะต้องเพิ่มความระมัดระวัง ให้มากขึ้นโดยลดความเร็วให้ช้าลงแต่จำเลยที่ 4 ยังคงขับรถโดยสารปรับอากาศต่อไปด้วยความเร็วสูงจนเกิดอุบัติเหตุจึงเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 4 เมื่อเป็นเหตุให้ชนกับรถบรรทุก รถแทรกเตอร์ที่จำเลยที่ 2 ขับมาโดยใบมีด จานไถ ของรถแทรกเตอร์ล้ำออกนอกตัวรถและล้ำเข้าไปในช่องเดินรถโดยสารปรับอากาศและโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น เห็นว่าตามข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 และที่ 4 ต่าง ฝ่ายต่างทำละเมิดโดยไม่ได้ร่วมกันจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 แต่ละฝ่ายจึงไม่ต้องร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดแก่โจทก์ ทั้งนี้ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้นให้ศาลวินิจฉัย ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 ที่ศาลล่างทั้งสองแบ่งส่วนแห่งความรับผิดโดยให้จำเลยที่ 1 และ ที่ 2 รับผิด 2 ส่วน ส่วนจำเลยที่ 3 ถึง ที่ 5 รับผิด 1 ส่วน นับว่าถูกต้องและเหมาะสมแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และ ที่ 4 ฟังไม่ขึ้น อนึ่งทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาของโจทก์มีจำนวน 380,000 บาท โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในจำนวนทุนทรัพย์ 411,700 บาท และทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาของจำเลยที่ 3 และ ที่ 4 มีจำนวน 143,002.44 บาท แต่จำเลยที่ 3 และ ที่ 4 เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาในจำนวนทุนทรัพย์ 320,147 บาท โจทก์ที่ 1 และ จำเลยที่ 3 ที่ 4 จึง เสียค่าขึ้นศาลเกินมาจึ ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในจำนวนทุนทรัพย์ที่เสียเกินมาดังกล่าว แก่โจทก์และจำเลยที่ 3 ที่ 4" พิพากษาแก้เป็นว่ากับให้จำเลยที่ 1 และ ที่ 2 ร่วมรับผิดเพิ่มขึ้นอีก 60,000 บาท และให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และ ที่ 5 ร่วมรับผิดเพิ่มขึ้น อีก 30,000 บาท นอกจาก ที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 422
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446
พระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 11
พระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 15
ผู้พิพากษา
ทองเลื่อน พูลพิพัฒน์
จองทรัพย์ เที่ยงธรรม
สมมาตร พรหมานุกูล
แหล่งที่มา: สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ


