แชร์

ระบบประสาทไม่สามารถควบคุมได้ เสียสมรรถภาพทางเพศ เรียกร้องได้ 

อัพเดทล่าสุด: 6 มิ.ย. 2024
132 ผู้เข้าชม

ระบบประสาทไม่สามารถควบคุมได้ เสียสมรรถภาพทางเพศ เรียกได้ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2538

คำพิพากษาย่อสั้น
     ต้นสนที่อยู่ข้างถนนซึ่งเทศบาลจำเลยที่1มีหน้าที่ดูแลมีสภาพผุกลวงแม้จะมีฝนตกและฟ้าคะนองในวันเกิดเหตุแต่ก็เป็นฝนตกเล็กน้อยและปานกลางในช่วงสั้นๆและความเร็วของลมก็เป็นความเร็วลมปกติการที่ต้นสนล้มลงทับรถยนต์โจทก์จึงมิใช่เกิดจากเหตุสุดวิสัยเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนแต่เป็นความบกพร่องของจำเลยที่1ที่ไม่ยอมโค่นหรือค้ำจุนต้นสนเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นจำเลยที่1จึงต้องรับผิด ค่าเสียหายเพราะเหตุที่โจทก์ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิตโดยระบบประสาทไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้เสียสมรรถภาพทางเพศและไม่สามารถเดินได้กับค่าเสียหายที่โจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานจากการทุพพลภาพตลอดชีวิตเป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินทั้งสองกรณีอันเนื่องมาจากเหตุที่ต่างกันจึงแยกจำนวนให้ชดใช้ตามเหตุที่แยกออกจากกันเป็นแต่ละเหตุได้ 

คำพิพากษาย่อยาว
     โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลมีหน้าที่ครอบครองดูแลบำรุงรักษาถนนสิ่งปลูกสร้างและ ต้นไม้บริเวณไหล่ถนนหรือบนทางเท้าในเขตเทศบาลเมืองสงขลาทั้งหมด  จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลสังกัดกระทรวงการคลังเป็นเจ้าของและผู้ดูแลที่ดินราชพัสดุทั่วราชอาณาจักรรวมทั้งที่ดินบริเวณแหลมสนอ่อน ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุหมายเลขทะเบียน 5526 ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ที่11/2475 โดยจำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 2 ให้เป็นผู้ครอบครองดูแลและได้ใช้ที่ดินดังกล่าวตัดถนน  ชื่อถนนแหลมสนอ่อน จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างหรือต้นไม้บริเวณไหล่ถนนหรือบนทางเท้าของถนนดังกล่าว โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์กระบะคันหมายเลขทะเบียน บ-6120 สงขลา เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2532 โจทก์ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปจอดที่ถนนบริเวณ แหลมสนอ่อนเพื่อจะรอขึ้นแพขนานยนต์  ปรากฏว่าต้นสนที่ปลูกอยู่บริเวณไหล่ถนนซึ่งโคนต้นผุ กลวงเป็นโพรงได้ล้มมาทับรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายทั้งคันและโจทก์ซึ่งนั่งอยู่ในรถยนต์ได้รับอันตรายสาหัส  ทั้งนี้เพราะจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ครอบครองดูแลต้นสนไม่ยอมโค่น หรือตัดต้นสนเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นซึ่งเป็นการไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเป็นเหตุให้เกิดเหตุดังกล่าว  จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ครอบครองดูแลที่ราชพัสดุร่วมกับจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วยโจทก์ ได้รับความเสียหายต้องเสียค่าซ่อมรถยนต์เป็นเงิน 90,000 บาทและตัวโจทก์ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ  ลำคอ หลัง กระดูกสันหลังหัก กดทับไขสันหลัง ทำให้ขาทั้งสองเป็นอัมพาตระบบประสาทไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายเสีย ความสามารถสืบ พันธุ์ ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิต โจทก์เสียค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่โรงพยาบาล หาดใหญ่เป็นเงิน 110,000 บาท ค่าจ้างแพทย์แผนโบราณมาบีบนวดเป็นเงิน 13,200 บาท รวมเป็นค่ารักษาพยาบาล 123,200 บาท ค่ารถเข็นเป็นเงิน 5,200 บาทค่าเสียหายเพราะเหตุที่โจทก์ ต้องกลายเป็นคนทุพพลภาพตลอดชีวิตเป็นเงิน 500,000 บาท ค่าเสียหายเนื่องจากต้องทนทุกข์ ทรมานตลอดชีวิตเป็นเงิน 300,000 บาทและค่าขาดรายได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 8,000 บาท นับตั้งแต่วันทำละเมิดจนกว่าโจทก์อายุ  65 ปี เป็นเวลา 37 ปี คิดเป็นค่าเสียหาย 3,552,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 4,570,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ย 155,195 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงินทั้งสิ้น 4,725,595 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าเสียหาย 4,725,595 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์ครบถ้วน
จำเลยทั้งสองให้การว่า  ที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุเป็นที่ราชพัสดุซึ่งกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และกระทรวงกลาโหมได้ขอใช้ที่ดินบริเวณดังกล่าวเพื่อสร้างสถานีทหารเรือสงขลา ที่ดินรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ในบริเวณดังกล่าวจึงอยู่ในความครอบครองดูแลของกองทัพเรือ กระทรวงกลาโหมไม่ได้อยู่ในความครอบครองดูแลของจำเลยทั้งสอง  ในวันเกิดเหตุ มีฝนฟ้าคะนองลมพัดแรงเป็นเหตุให้ต้นสนล้มลงมาทับรถยนต์ของโจทก์เสียหายและโจทก์ได้รับ อันตรายแก่กายซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย  ค่าเสียหายที่โจทก์ขอมานั้นสูงเกินความเป็นจริงโดยค่าเคาะ พ่นสีรถยนต์กระบะและค่าอะไหล่คิดเป็นเงินไม่เกิน 37,870 บาท ค่ารักษาพยาบาลเป็นเงินไม่เกิน 30,000 บาท ค่ารถเข็นไม่เกิน 5,000 บาท ค่าขาดรายได้เดือนละประมาณ 2,000 บาท เป็นเวลา 12 ปี ไม่เกิน 288,000 บาทและค่าเสียหายเพราะโจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานจากการทุพพลภาพตลอดชีวิตเป็นเงินไม่เกิน 50,000 บาท อนึ่งฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้ระบุว่าจำเลยทั้งสองกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างไรและโจทก์ไม่ได้บรรยายในฟ้องเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลว่าแยกเป็นค่ายาหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ อย่างไร เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองไม่สามารถยื่นคำให้การ แก้คดีได้ถูกต้อง   ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน  715,200 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายรวม 785,200 บาท พร้อม ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2532 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2532 ขณะที่โจทก์ขับรถยนต์กระบะคันหมายเลข ทะเบียน บ-6120 สงขลา ไปจอดที่ถนนแหลมสนอ่อน ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เพื่อจะรอขึ้นแพขนานยนต์ ระหว่างนั้น ต้นสนที่อยู่ข้างถนนล้มมาทับรถยนต์โจทก์เสียหายตามภาพถ่ายหมาย จ. 9 และเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสทุพพลภาพตลอดชีวิตตามใบรับรองแพทย์เอกสารหมาย จ. 2 ปัญหา ตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อที่สองมีว่าต้นสนที่ล้มทับรถยนต์ของโจทก์เสียหายและโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสนั้นเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือเกิดจากความบกพร่องของจำเลยที่ 1 จากทางนำสืบของโจทก์ประกอบภาพถ่ายหมาย จ. 1 และ จ. 4 เห็นประจักษ์ชัดว่าต้นสนดังกล่าวมีสภาพผุกลวงสามารถที่จะมองเห็นสภาพได้จากภายนอกมิฉะนั้นทางสถานีทหารเรือสงขลาคงไม่ร้องขอให้จำเลยที่ 1 จัดส่งพนักงานไปทำการโค่นต้นสนในที่เกิดเหตุ นายนิพนธ์พยานจำเลยทั้งสอง ก็ยอมรับว่าตามภาพถ่ายหมาย จ. 1 และ จ. 4 เมื่อมองจากภายนอกจะเห็นว่าต้นสนที่เกิดเหตุมี สภาพ ผุ กลวง แม้นายเกรียงไกร กอวัฒนา ผู้อำนวยการศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ พยานจำเลย ทั้งสองจะเบิกความว่ามีฝนตกและฟ้าคะนองในวันเกิดเหตุ แต่ก็เป็นฝนตกเล็กน้อยและปานกลางในช่วงสั้น ๆ ซึ่งพยานปากนี้เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าความเร็วของลมในวันเกิดเหตุประมาณ  5 ถึง 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมงถือว่าเป็นความเร็วลมปกติ ฉะนั้นการที่ต้นสนล้ม ลงทับรถยนต์โจทก์จึงมิใช่เกิดจากเหตุสุดวิสัยเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน  แต่เป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 1 ที่ไม่ยอมโค่นหรือค้ำจุนต้นสนดังกล่าวเพื่อป้องกันมิให้เกิดความสียหาย แก่ผู้อื่น  จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์
ปัญหาสุดท้ายตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดค่าเสียหายต่อโจทก์เพียงใดจำเลยที่ 1 ฎีกาเรื่องค่าเสียหายไว้ 4 ข้อ ข้อแรกฎีกาว่าที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 กำหนดค่าเสียหาย ที่โจทก์ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิตเป็นเงิน 100,000 บาทและต้องทุกข์ทรมานจากการทุพพลภาพตลอดชีวิตเป็นเงินอีก 50,000 บาทให้โจทก์ค่าเสียหายทั้งสองกรณีดังกล่าวถือเป็นค่าเสียหายมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 446 อันเป็นค่าเสียหาย อย่างเดียวกันไม่อาจแยกออกจากกันได้การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดค่าเสียหายให้ทั้งสอง กรณีจึงขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าวและ ค่าเสียหายส่วนนี้โจทก์ควรได้รับเพียง 50,000 บาทนั้น เห็นว่าค่าเสียหายเพราะเหตุที่โจทก์ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิตโดยระบบประสาทไม่สามารถ ควบคุมการขับถ่ายได้  เสียสมรรถภาพทางเพศและไม่สามารถเดินได้กับค่าเสียหายที่โจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานจากการทุพพลภาพตลอดชีวิตนั้น ถือเป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 ทั้งสองกรณีอันเนื่องมาจากเหตุที่ต่างกันจึงแยกจำนวน ที่ให้ชดใช้ตามเหตุที่แยกออกจากกันเป็นแต่ละเหตุได้และที่จำเลยที่ 1 ว่าโจทก์ควรได้รับค่าเสียหายส่วนนี้ 50,000 บาท ศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดค่าเสียหายให้150,000 บาท เป็นการเหมาะสมแล้วไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลง"
พิพากษายืน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 434
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 

ผู้พิพากษา
สุทธิ นิชโรจน์
ปรีชา นาคพันธุ์
ระพินทร บรรจงศิลปะ 

แหล่งที่มา: สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ