แชร์

หากรายได้ของผู้ตายต้องห้ามตามกฎหมาย เรียกร้องค่าเสียหายในส่วนนี้ไม่ได้

อัพเดทล่าสุด: 29 พ.ค. 2024
134 ผู้เข้าชม

หากรายได้ของผู้ตายต้องห้ามตามกฎหมาย เรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5183/2537 

คำพิพากษาย่อสั้น
     แม้ก่อนตายผู้ตายจะมีรายได้จากการขับรถยนต์สองแถวรับจ้างนำรายได้มาเลี้ยงครอบครัวโจทก์ก็ตาม แต่ขณะถึงแก่ความตายผู้ตายมีอายุเพียง 19 ปี ซึ่งตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 42 บัญญัติว่าผู้ขับรถต้องได้รับใบอนุญาตขับรถ และมาตรา 49(2)บัญญัติว่า ผู้ขอใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี บริบูรณ์ ผู้ตายจึงต้องห้ามมิให้ขับรถยนต์สองแถวรับจ้างซึ่งจัดเป็นรถยนต์สาธารณะตามกฎหมายดังกล่าว การขับรถยนต์สองแถวรับจ้างของผู้ตายถือไม่ได้ว่าเป็นการทำงานตามสมควรแก่ความสามารถและฐานานุรูปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567(3) โจทก์ผู้เป็นมารดาไม่มีสิทธิใช้ผู้ตายซึ่งเป็นบุตรให้ทำงานดังกล่าวฉะนั้น รายได้จากการขับรถยนต์สองแถวรับจ้างจึงมิใช่รายได้ที่เกิดจากการที่ผู้ตายมีความผูกพันตามกฎหมายที่จะต้องทำการงานให้เป็นคุณแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในครัวเรือนดังความที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 445 โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ไม่ได้ 

คำพิพากษาย่อยาว
     โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 543,950 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 506,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ที่โจทก์อ้างว่าผู้ตายได้ช่วยขับรถยนต์สองแถวอันเป็นกิจกรรมในครัวเรือนนั้น โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเพราะเป็นค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อนกับค่าอุปการะเลี้ยงดูที่โจทก์ได้เรียกร้องมาแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำนวน 295,950 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 210,000 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้ เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ตายกับพวกได้ปรับความเข้าใจกับจำเลยในกรณีผู้ตายพาบุตรสาวของจำเลยไปอยู่กินฉันสามีภรรยากันที่จังหวัดลำปาง โดยไม่ได้บอกกล่าวจำเลยเป็นเหตุให้จำเลยโกรธจำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในข้อหาฆ่าผู้ตายโดยเจตนา คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 20 ปี และวินิจฉัยว่าแม้ก่อนตายผู้ตายจะมีรายได้จากการขับรถยนต์สองแถวรับจ้างนำรายได้ดังกล่าวมาเลี้ยงครอบครัวของโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาถึงว่าขณะถึงแก่ความตายผู้ตายมีอายุ19 ปี ซึ่งตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 42 บัญญัติว่าผู้ขับรถต้องได้รับใบอนุญาตขับรถ และมาตรา 49(2) บัญญัติไว้ความว่าผู้ขอใบอนุญาตขับรถยนต์ สาธารณะตามมาตรา 43(4) ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี บริบูรณ์ ดังนั้นผู้ตายจึงต้องห้ามมิให้ขับรถยนต์สองแถวรับจ้างซึ่งจัดเป็นรถยนต์สาธารณะตามกฎหมายดังกล่าว การขับรถยนต์สองแถวรับจ้างของผู้ตายถือไม่ได้ว่าเป็นการทำงานตามสมควรแก่ความสามารถและฐานานุรูปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567(3) โจทก์ไม่มีสิทธิใช้ให้ผู้ตายทำงานดังกล่าว ฉะนั้น รายได้จากการขับรถยนต์สองแถวรับจ้างที่ผู้ตายได้รับจึงมิใช่รายได้ทีเกิดจากการที่ผู้ตายมีความผูกพันตามกฎหมายที่จะต้องทำการงานให้เป็นคุณแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในครัวเรือนดังความที่บัญญัติไวในมาตรา 445 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ไม่ได้
พิพากษายืน 

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 445
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567
พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 42
พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 43
พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 49

ผู้พิพากษา
สุรินทร์ นาควิเชียร
นาม ยิ้มแย้ม
สุวรรณ ตระการพันธุ์ 

แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ