สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลจากทางราชการเป็นสิทธิเฉพาะตัวเรียกร้องจากจำเลยอีกได้

สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลจากทางราชการเป็นสิทธิเฉพาะตัวเรียกจากจำเลยอีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3357/2538
คำพิพากษาย่อสั้น
ค่ารักษาพยาบาลเป็นค่าเสียหายฐานละเมิดแม้บิดาโจทก์จะเบิกจากทางราชการและทางราชการได้จ่ายค่าเสียหายในส่วนนี้แทนโจทก์ไปแล้วก็เป็นสิทธิเฉพาะตัวของบิดาโจทก์ไม่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่2 โจทก์จึงยังมีสิทธิเรียกร้องเอาค่ารักษาพยาบาลจากจำเลยที่2 ผู้ต้องรับผิดฐานละเมิดได้และกรณีเป็นคนละเรื่องกับการที่โจทก์มีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินในกรณีถูกทำละเมิดจนได้รับอันตรายแก่กายหรือถึงแก่ชีวิต เมื่อโจทก์ออกจากโรงพยาบาลแล้วโจทก์ยังต้องได้รับการรักษาโดยทางกายภาพบำบัดต้องมีผู้มาทำกายภาพบำบัดให้ที่บ้านของโจทก์อีกเป็นเวลา 3 เดือน เชื่อว่าโจทก์ต้องเสียค่าจ้างคนมาทำกายภาพบำบัดให้แม้โจทก์ไม่มีใบเสร็จรับเงินมาแสดงโจทก์ก็มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ได้ ค่าจ้างบุคคลอื่นดูแลโจทก์ในระหว่างการรักษาพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลนั้นแม้โจทก์จะไม่มีใบเสร็จรับเงินมาแสดงและไม่มีรายละเอียดว่าได้จ่ายค่าจ้างไปเท่าใดก็ตามแต่การที่โจทก์ได้รับบาดเจ็บขาหักหลายแห่งต้องผ่าตัดหลายครั้งและต้องทำการกายภาพบำบัดทั้งขณะอยู่ที่โรงพยาบาลและออกจากโรงพยาบาลแล้วใช้เวลารักษาในโรงพยาบาลนานถึง129วันจำเป็นต้องมีผู้ดูแลช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดเพราะโจทก์ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ได้ ขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นนักเรียนกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่6โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสต้องพักรักษาตัวหลายเดือนต้องขาดเรียนและเรียนซ้ำชั้นโจทก์ย่อมได้รับความทุกข์ทรมานทางกายและจิตใจมากโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินในส่วนนี้ได้และไม่ใช่ค่าเสียหายที่ไกลเกินเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา446
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2534 โจทก์นั่งรถยนต์โดยสารประจำทางของจำเลยที่ 2 มี จำเลยที่1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เป็นคนขับจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันดังกล่าวในทางการที่จ้างด้วยความประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังด้วยความเร็วสูงเป็นเหตุให้เบียดชนกับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 9 ง-4000 กรุงเทพมหานคร รถยนต์โดยสารประจำทางที่จำเลยที่ 1ขับเสียหลักตกลงข้างทางทับโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสโจทก์ต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดชนาน 129 วัน เสียค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน 124,696 บาท ค่าจ้างผู้ช่วยเหลือพิเศษ ค่าอาหาร และค่าของใช้เบ็ดเตล็ด 60,000 บาท หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วต้องเสียค่าใช้จ่ายในการฝึกกายภาพบำบัดอีก 50,000 บาทและขณะเกิดเหตุโจทก์กำลังศึกษาอยู่ชั้น มัธยมปีที่ 6 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยจังหวัดนนทบุรีทำให้โจทก์ต้องเสียเวลาเรียนซ้ำชั้นอีก 1 ปีและขาดความก้าวหน้าทั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า 80,000 บาท การที่โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสดังกล่าวแล้วทำให้โจทก์ทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจจึงขอเรียกค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ 250,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหาย ทั้งหมด 564,696 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์แล้วจำเลยทั้งสองเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 564,696 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่าจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างเหตุที่โจทก์ได้รับอันตรายแก่กายโจทก์มีส่วนประมาทอยู่ด้วยส่วนค่าสินไหมทดแทนต่อจิตใจและความก้าวหน้าในชีวิตกับค่าใช้จ่ายในการเรียนซ้ำชั้นไม่ใช่ผลโดยตรงจากการทำละเมิด ทั้ง เป็นค่าเสียหายที่ไกลเกินเหตุซึ่งไม่สามารถคาดหมายได้ โจทก์เสียค่ารักษาพยาบาลจริง ๆ ไม่เกิน 100,000 บาท และบิดาของโจทก์สามารถเบิกจากทางราชการได้อยู่แล้วโจทก์ไม่ต้องชำระ เอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 414,696 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่จำเลยที่ 2 ฎีกา ว่าบิดาโจทก์มีสวัสดิการของทางราชการช่วยเหลือหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งชำระค่ารักษาพยาบาลแทนโจทก์ค่าเสียหายในส่วนที่เกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลที่โจทก์จะเรียกร้องได้ต้องเป็นค่ารักษาพยาบาลที่โจทก์ได้เสียไปตามความเป็นจริงเท่านั้น ไม่ว่าประการใดก็ตามเนื่องจากโจทก์สามารถคิดค่าเสียหายในส่วนค่าสินไหมทดแทนอันมิใช่ตัวเงินในกรณีถูกทำละเมิดจนได้รับอันตรายแก่กายหรือถึงแก่ชีวิตได้อยู่แล้วจึงเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้อีกไม่ได้นั้น เห็นว่าค่ารักษาพยาบาลเป็นค่าเสียหายฐานละเมิดแม้บิดา โจทก์จะเบิกจากทางราชการและทางราชการได้จ่ายค่าเสียหายในส่วนนี้แทนโจทก์ไปแล้วก็ตามก็เป็นสิทธิเฉพาะตัวของบิดาโจทก์ไม่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 โจทก์จึงยังมีสิทธิเรียกร้องเอาค่ารักษาพยาบาลจากจำเลยที่ 2 ผู้ต้องรับผิดฐานละเมิดได้และกรณีเป็นคนละเรื่องกับการที่โจทก์มีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินในกรณีถูกทำละเมิดจนได้รับอันตรายแก่กายหรือถึงแก่ชีวิตฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้นที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่ารักษาทางกายภาพบำบัดและค่าจ้างคนดูแลนั้นเห็นว่าโจทก์มีนาวาอากาศเอกปรีดา จินดาแพทย์ผู้รักษาโจทก์เป็นพยานเบิกความยืนยันว่าขาของโจทก์ถูกรถยนต์บดขยี้จนกระทั่งเนื้อบางส่วนตายต้องตัดออกหลังจากผ่าตัดเอาเนื้อที่ตายออกไปแล้วจะต้องผ่าตัดเอาผิวหนังส่วนอื่น มาปะไว้ต่อจากนั้นจะต้องทำกายภาพบำบัดเพราะบาดแผลถูกดึง รั้ง ไว้ทำให้เหยียดขาหรือนั่งไม่ได้เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ต้องทำกายภาพบำบัดอีกเพื่อจะได้เหยียดขาหรือนั่งได้ตามปกติพยานปากนี้เป็นผู้ตรวจรักษาโจทก์ทำการตรวจรักษาโจทก์ด้วยหลักวิชาการคำเบิกความของพยานนี้มีเหตุผลน่าเชื่อถือจำเลยที่ 2 เองก็มิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น กรณีฟังได้ว่าเมื่อโจทก์ออกจากโรงพยาบาลแล้วโจทก์ยังต้องได้รับการรักษาโดยทางกายภาพบำบัดโดยมี ผู้มาทำกายภาพบำบัดให้ที่บ้านของโจทก์อีกเป็นเวลา 3 เดือนในการนี้เชื่อได้ว่าโจทก์ต้องเสียค่าจ้างคนมาทำกายภาพบำบัดให้แม้โจทก์ไม่มีใบเสร็จรับเงินมาแสดงโจทก์ก็มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ได้ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้เป็นเงิน 40,000 บาท นั้นเหมาะสมแล้ว ส่วนค่าจ้างบุคคลอื่นมาดูแลโจทก์ในระหว่างการรักษาพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาล นั้นเห็นว่าแม้โจทก์จะไม่มีใบเสร็จรับเงินมาแสดงและไม่มีรายละเอียดว่าได้จ่ายค่าจ้างไปเท่าใดก็ ตาม แต่การที่โจทก์ได้รับบาดเจ็บขาหักหลายแห่งต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัดหลายครั้งต้อง ตัดเอาเนื้อที่ตายบางส่วนออกแล้วผ่าตัดเอาผิวหนังส่วนอื่นมาปะไว้ และต้องทำการกายภาพบำบัดทั้งขณะอยู่ที่โรงพยาบาล และออกจากโรงพยาบาลแล้วใช้เวลาในการรักษาในโรงพยาบาลนานถึง 129 วันโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสมากจำเป็นต้องมีผู้ดูแลช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดเพราะโจทก์ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เชื่อได้ว่าโจทก์ได้จ้างบุคคลอื่นมาช่วยเหลือดูแลที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 50,000 บาท เป็นการเหมาะสมแล้วที่จำเลยที่ 2ฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินเพราะเป็นความเสียหายที่ไกลเกินเหตุนั้นเห็นว่าขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นนักเรียนกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 6 จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลย ที่ 2 ทำละเมิดต่อโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ขาหักหลายแห่งต้องรักษาโดยการผ่าตัดหลายครั้งและรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานถึง 129 วัน ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ต้องมารักษาตัวที่บ้านอีกหลายเดือนโจทก์ได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัสต้องทนทุกข์ทรมานเพราะบาดแผลที่ได้รับเป็นเวลานานต้องขาดเรียนและเรียนซ้ำชั้น เห็นได้ว่าโจทก์ได้รับความทุกข์ทรมานทางกายและจิตใจมาก โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินในส่วนนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 446 ไม่ใช่เป็นค่าเสียหายที่ไกลเกินเหตุตามข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ตาม พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดกับความทุกข์ทรมานทางกายและใจที่โจทก์ได้รับแล้วการที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 200,000 บาทนั้นเป็นการเหมาะสมแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ก็ฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้วฎีกาทุกข้อของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446
ผู้พิพากษา
บุญศรี กอบบุญ
สมมาตร พรหมานุกูล
สละ เทศรำพรรณ
แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา


