นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดละเมิดกับลูกจ้างซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้าง

นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดละเมิดกับลูกจ้างซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2530
คำพิพากษาย่อสั้น
คำเบิกความของพนักงานสอบสวนที่เบิกความว่าในการสอบสวนจำเลยที่ 1 รับว่าขับรถกลับจากไปรับจ้างบรรทุกดินในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ขณะนำรถกลับมาไว้ที่อู่ก็เกิดเหตุขึ้นแม้จะเป็นพยานบอกเล่าแต่ก็เป็นคำบอกเล่าที่เป็นคำรับของคู่ความรับฟังได้
การเรียกบริษัทประกันภัยเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเพื่อรับผิดตามสัญญาประกันภัยแทนจำเลยที่ 2 เมื่อสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จสิ้นแล้วจะต้องเริ่มต้นสืบพยานกันใหม่ และแม้ศาลไม่เรียกบริษัทดังกล่าวเข้าเป็นจำเลยร่วม จำเลยที่ 2 ก็มีสิทธิที่จะเรียกร้องจากบริษัทดังกล่าวได้อยู่แล้วจึงไม่มีประโยชน์ที่จะเรียกบริษัทดังกล่าวเข้ามาเป็นจำเลยร่วม
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทเลี้ยวเข้าซอยด้วยความเร็ว เป็นเหตุให้เฉี่ยวส่วนท้ายของรถจักรยานยนต์ที่นายชาตรี แซ่ตั้ง ผู้ขับขี่และมีโจทก์ที่ 1 นั่งมาแฉลบกระเด็นเสียหลักล้มลง โจทก์ที่ 1 ได้รับอันตรายถึงตับฉีกขาดกระทบกระเทือนถึงปอด แพทย์ต้องตัดตับทิ้ง โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ที่ 1 ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลา ขาดรายได้เพราะต้องไปดูแลโจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 12,000 บาท ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายรวม 144,366 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่าจำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างและขับรถยนต์วันเกิดเหตุในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 เหตุที่เกิดขึ้นเป็นความประมาทของฝ่ายโจทก์ โจทก์ที่ 1 เสียค่ารักษาไม่เกิน 10,000 บาท โจทก์ที่ 2 เสียหาย 2,400 บาท โจทก์ที่ 1 เสียค่าเดินทางไปรักษาตัวไม่เกิน 1,000 บาท ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 144,366 บาทเต็มตามฟ้องโจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียม โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 2,000 บาท
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 หรือไม่นั้น จำเลยที่ 2 เบิกความรับว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างที่ขับรถยนต์บรรทุกดินคันเกิดเหตุจริงและว่าจำเลยที่ 1 ทำงานกับจำเลยที่ 2 ก่อนเกิดเหตุประมาณ 4-5 เดือนไม่เคยละเมิดคำสั่งของจำเลยที่ 2 เลย ซึ่งโจทก์มีร้อยตำรวจโทสันติ ชอบทำกิจ พนักงานสอบสวนคดีนี้มาเบิกความว่า ในการสอบสวนจำเลยที่ 1 รับว่าขับรถกลับจากการไปรับจ้างบรรทุกดินในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ขณะนำรถกลับมาไว้ที่อู่ก็เกิดเหตุขึ้น แม้จะเป็นพยานบอกเล่าแต่ก็เป็นคำบอกเล่าที่เป็นคำรับของคู่ความ น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามความจริง ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 เอารถออกไปเอาของส่วนตัวของจำเลยที่ 1 เองก็คงมีแต่คำเบิกความของจำเลยที่ 2 คนเดียวไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานโจทก์ได้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ฉะนั้นจำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย
สำหรับปัญหาสุดท้ายที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ได้ขอให้ศาลชั้นต้นหมายเรียกบริษัทประกันสรรพภัยแห่งประเทศไทย จำกัด เข้าเป็นจำเลยร่วมเพื่อรับผิดตามสัญญาประกันภัยแทนจำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่า คดีนี้ได้สืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว หากจะให้เรียกบริษัท ประกันสรรพภัยแห่งประเทศไทย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมก็จะต้องเริ่มต้นสืบพยานกันใหม่ และเมื่อศาลชั้นต้นไม่เรียกบริษัทดังกล่าวเข้ามาเป็นจำเลยร่วม จำเลยที่ 2 ก็มีสิทธิที่จะเรียกร้องจากบริษัทดังกล่าวได้อยู่แล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะเรียกบริษัทดังกล่าวเข้ามาเป็นจำเลยร่วมอีก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ทั้งสอง 2,000 บาท
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 58
ผู้พิพากษา
สุนทร จันทรศักดิ์
สมศักดิ์ เกิดลาภผล
สาระ เสาวมล
แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา


