แม้ลูกจ้างจะมีสิทธิลาป่วยไม่ตัดสิทธินายจ้างที่จะเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากแรงงาน

แม้ลูกจ้างจะมีสิทธิลาป่วยไม่ตัดสิทธินายจ้างที่จะเรียกค่าขาดประโยชน์จากแรงงาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5014/2533
คำพิพากษาย่อสั้น
ประเด็นข้อพิพาทซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยเมื่อเห็นสมควรศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาเหล่านั้นไปได้โดยไม่ต้องย้อนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยใหม่ ข. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 3 ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยประมาทเลินเล่อไปชนรถยนต์ที่ ส.ขับทำให้ ส.ได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัวไม่สามารถไปประกอบหน้าที่การงานให้โจทก์ได้ตามปกติ การกระทำละเมิดของ ช. ดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากแรงงานของ ส. ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินเดือนให้แก่ ส. ในระหว่างนั้น โจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 445 ประกอบด้วยมาตรา 425 และ มาตรา 887 แม้จำเลยที่ 3 จะจ่ายค่าขาดประโยชน์แรงงานให้ ส. ไปแล้วและระหว่างที่ ส.พักรักษาตัวเนื่องจากถูกรถชนส. มีสิทธิลาป่วยได้ก็ตาม แต่ก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง ส.ที่จะฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์จากแรงงานจากจำเลยอีก โจทก์เป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากรถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัยค้ำจุนไว้ จึงชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 3 โดยตรง เกิดเหตุละเมิดเมื่อเวลา 20 นาฬิกาเศษของวันศุกร์ ที่ 22 กรกฎาคม 2526 ซึ่งเป็นช่วงนอกเวลาราชการ ที่จังหวัดนครสวรรค์ ส. ได้รับบาดเจ็บมากคงไม่สามารถไปรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผู้บังคับบัญชาทราบได้ในวันนั้นจึงเชื่อว่าโจทก์ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่กรุงเทพมหานครคงไม่รู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวจำเลยที่ 2 ผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันนั้น อย่างเร็วที่สุดโจทก์จะรู้ในวันเปิดทำการคือวันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2526 โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 23 กรกฎาคม 2527 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 โจทก์มิใช่ผู้ต้องเสียหายโดยตรง แต่เป็นเพียงนายจ้างที่ต้องขาดแรงงานไปเท่านั้น จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดนับแต่เวลาที่ทำละเมิดและทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่เมื่อใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยก่อนฟ้องคดี.
คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในรถยนต์บรรทุกเลขทะเบียน 80-5023 เพชรบูรณ์ และเป็นนายจ้างของนายชลอหรือแจ้ว อบสินธุ์ จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุน นายชลอได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วยความประมาทเลินเล่อโดยขับรถด้วยความเร็วสูงแล้วเลี้ยวขวาตัดหน้ารถยนต์เก๋งเลขทะเบียน2 ก-0136 กรุงเทพมหานคร ซึ่งนายสมัย รักจำรูญ เป็นผู้ขับเป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันชนกัน และนายสมัยได้รับอันตรายสาหัสต้องพักรักษาตัวเป็นเวลา 1 เดือน 2 วัน โจทก์ได้จ่ายเงินเดือนให้นายสมัยในระหว่างเวลาดังกล่าวรวมเป็นเงิน 8,055 บาท โดยไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทนจากแรงงานของนายสมัยตามปกติ ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 8,055 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันทำละเมิด
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า นายสมัย รักจำรูญ ไม่ใช่ลูกจ้างโจทก์ นายชลอ อบสินธุ์ ไม่ใช่ลูกจ้างที่ปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 นายสมัยมีส่วนประมาทอยู่ด้วย จำเลยที่ 3ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมถึงค่าขาดประโยชน์อื่น ๆ ให้แก่นายสมัยไปแล้ว ทั้งตามปกตินายสมัยมีสิทธิลาป่วยโดยโจทก์ต้องจ่ายเงินเดือนให้ กรมธรรม์ประกันภัยของจำเลยที่ 3 คุ้มครองเฉพาะตัวผู้เสียหายโดยตรงเท่านั้น ไม่มีผลรวมไปถึงนายจ้างของผู้เสียหายในการเรียกค่าเสียหายจากการขาดแรงงาน ค่าขาดแรงงานที่เรียกมาสูงเกินไป ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาของโจทก์มีว่า ในกรณีที่นายชลอ หรือแจ้ว อบสินธุ์ ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัยในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ที่นายสมัยขับเป็นเหตุให้นายสมัยได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัว ไม่สามารถประกอบหน้าที่การงานให้โจทก์ได้ตามปกติ และโจทก์ต้องจ่ายเงินเดือนให้แก่นายสมัยตามสัญญาจ้างในระหว่างที่นายสมัยพักรักษาตัวโดยโจทก์ไม่ได้รับการปฏิบัติงานตอบแทนจากนายสมัยในระหว่างนั้นในกรณีเช่นนี้ จำเลยทั้งสามจะต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับเงินเดือนที่โจทก์จ่ายให้นายสมัยให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า นายสมัยเป็นพนักงานของโจทก์ที่จะต้องประกอบการงานให้แก่โจทก์เป็นประจำ ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายชลอเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 3 ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยประมาทเลินเล่อไปชนรถยนต์ที่นายสมัยชน ทำให้นายสมัยได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัวไม่สามารถไปประกอบหน้าที่การงานให้โจทก์ได้ตามปกติการกระทำละเมิดของนายชลอดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ขาดประโยชน์จากแรงงานของนายสมัย ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินเดือนให้แก่นายสมัยในระหว่างนั้น โจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้จากจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 445 ประกอบด้วยมาตรา 425และมาตรา 887 สำหรับประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยมีดังนี้ 1.นายชลอ หรือแจ้ว อบสินธุ์ เป็นลูกจ้างที่ปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 หรือไม่ 2.นายชลอขับรถยนต์บรรทุกโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่เพียงใด 3.การที่จำเลยที่ 3 จ่ายค่าขาดประโยชน์แรงงานให้แก่นายสมัยไปแล้ว กับระหว่างที่นายสมัยพักรักษาตัวเนื่องจากถูกรถชนนายสมัยมีสิทธิลาป่วยได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์จากแรงงานจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 อีกได้ หรือไม่ 4.ค่าขาดประโยชน์จากแรงงานที่โจทก์จ่ายให้แก่นายสมัยเป็นจำนวนเท่าใด 5.กรมธรรม์ประกันภัยของจำเลยที่ 3 ที่คุ้มครองความเสียหายของบุคคลภายนอก หมายถึงเฉพาะตัวผูเสียหายหรือคุ้มครองเลยไปถึงนายจ้างของผู้เสียหายด้วย และ 6.คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ขาดอายุความหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาเหล่านี้ไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยใหม่ในประเด็นข้อ 1 ...ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่านายชลอหรือแจ้ว อบสินธุ์ เป็นลูกจ้างที่ปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ประเด็นข้อ 2 ...การกระทำของนายชลอเป็นการประมาทเลินเล่อแต่ผู้เดียวประเด็นข้อ 3 ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะได้ความว่าจำเลยที่ 3 จ่ายค่าขาดประโยชน์แรงงานให้แก่นายสมัยไปแล้ว และระหว่างที่นายสมัยพักรักษาตัวเนื่องจากถูกรถชนนายสมัยมีสิทธิลาป่วยได้ก็ตาม แต่ก็ไม่ตัดสิทธิ โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างนายสมัยที่จะฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์จากแรงงานจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 อีก ประเด็นข้อ 4 ...โจทก์ต้องขาดแรงงานนายสมัยไปคิดเป็นเงิน 8,055 บาท ประเด็นข้อ 5 คู่ความรับกันว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2คันที่เกิดเหตุ ตามสำเนากรมธรรม์เอกสารหมาย จ.9 เป็นการรับประกันภัยประเภทรับผิดต่อบุคคลภายนอก จึงเป็นการประกันภัยค้ำจุนเมื่อได้ความว่าโจทก์เป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากรถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัยไว้ โจทก์ก็ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนตามที่ตนควรจะได้นั้นจากจำเลยที่ 3 โดยตรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรค 1 และวรรค 2 ส่วนประเด็นข้อสุดท้ายตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อใด จำเลยที่ 2 เองก็ไม่นำสืบ แต่อย่างไรก็ดีปรากฏจากคำเบิกความของนายสมัยว่าเกิดเหตุเวลา 20 นาฬิกาเศษ ของวันศุกร์ ที่22 กรกฎาคม 2526 ซึ่งเป็นช่วงนอกเวลาราชการ ที่ตำบลบ้านแก่ง(ที่ถูกเป็นสี่แยกบ้านแก่ง ตำบลนครสวรรค์ตก) อำเภอเมืองนครสวรรค์จังหวัดนครสวรรค์ นายสมัยได้รับบาดเจ็บกระดูกไหปลาร้าหักฐานกะโหลกศีรษะบริเวณกกหูซ้ายร้าว กับมีบาดแผลที่ใบหน้าและร่างกายต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดนครสวรรค์ คงไม่สามารถไปรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผู้บังคับบัญชาทราบได้ทันในวันนั้นจึงเชื่อว่าโจทก์ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่กรุงเทพมหานคร คงไม่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวจำเลยที่ 2 ผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันนั้น อย่างเร็วที่สุดโจทก์จะรู้ ในวันที่เปิดทำการคือวันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2526 โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 23 กรกฎาคม 2527 ยังไม่พ้นหนึ่งปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวจำเลยที่ 2 ผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 สำหรับคดีที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 นั้น ปรากฏตามสำเนาหนังสือแสดงการจดทะเบียนเอกสารหมาย จ.4 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ประกอบการขนส่งรถยนต์บรรทุกเลขทะเบียน 80-5023 เพชรบูรณ์ และศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วว่านายชลอเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 กระทำกิจการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันจากรถยนต์บรรทุกนั้น จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ตามจำนวนเงินดังได้วินิจฉัยมาแล้ว อนึ่งที่โจทก์ฟ้องโดยคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสามนับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี ด้วยนั้น โจทก์มิใช่ผู้ต้องเสียหายโดยตรง แต่เป็นเพียงนายจ้างที่ต้องขาดแรงงานไปเท่านั้น จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดนับแต่เวลาที่ทำละเมิดและทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามผิดนัดตั้งแต่เมื่อใดโจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยก่อนฟ้องคดี
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 8,055 บาทให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ.
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 206
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 445
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247
ผู้พิพากษา
พินิจ ฉิมพาลี
ชุม สุกแสงเปล่ง
เทพฤทธิ์ ศิลปานนท์
แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ผู้พิพากษา
ยง เหลืองรังษี
สว่าง ภูวะปัจฉิม
ฉัตร รัตนทัศนีย์
แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา


