แชร์

ค่าเดินทางไปเคารพศพ ไม่เป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็น เรียกร้องไม่ได้

อัพเดทล่าสุด: 6 มิ.ย. 2024
143 ผู้เข้าชม

ค่าเดินทางไปเคารพศพ ไม่เป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็น เรียกไม่ได้ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7166/2542 

คำพิพากษาย่อสั้น
     โจทก์ที่ 5 บรรยายฟ้องเกี่ยวกับการเรียกค่าขาดไร้อุปการะว่าโจทก์ที่ 5 กับนายโท. เป็นสามีภริยากันและมีบุตรด้วยกัน 2 คน คือเด็กชาย อ. และเด็กชาย ม. บุตรทั้งสองกำลังศึกษาอยู่ โจทก์ที่ 5 และบุตรทั้งสองต้องอาศัยรายได้จากนายโท. เป็นเงินเลี้ยงชีพและค่าใช้จ่ายในการศึกษา รวมทั้งค่าเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ เช่นนี้ แม้โจทก์ที่ 5 จะไม่ได้บรรยายฟ้องว่าใช้สิทธิฟ้องคดีในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรทั้งสองด้วยก็ตาม แต่ก็มีความหมายพอเป็นที่เข้าใจว่าโจทก์ที่ 5 ฟ้องคดีขอเรียกค่าสินไหมทดแทนตามสิทธิของบุตรทั้งสองด้วย จึงถือได้ว่าโจทก์ที่ 5 ฟ้องคดีในนามของบุตรทั้งสองโดยปริยายแล้ว
เมื่อนักบินผู้ควบคุมเครื่องบินเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 และความเสียหายเกิดจากเครื่องบินซึ่งเป็นยานพาหนะที่เดินด้วยเครื่องจักรกล กรณีจึงตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้นเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของผู้เสียหายนั้นเอง และจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยในวินาศภัยอันเกิดจากเที่ยวบินดังกล่าว
ค่าใช้จ่ายในอนาคตที่บุตรทั้งสองของโจทก์ที่ 5 ต้องเดินทางไปเคารพศพนายโท. ในสถานที่เกิดเหตุเป็นเวลา 10 ปี ถือไม่ได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคหนึ่ง ส่วนค่าเสียหายอันเนื่องมาจากลูกจ้างของจำเลยที่ 1 จงใจละเมิดกฎเกณฑ์หรือมาตรฐานแห่งความปลอดภัย ก็มิใช่ค่าสินไหมทดแทนที่จะเรียกร้องเอากับจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443
แม้โจทก์ที่ 5 จะมีคำขอให้จำเลยทั้งสองชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินสกุลมาร์กเยอรมันโดยคำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่จำเลยทั้งสองชำระเสร็จ ทาศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 5 เป็นเงินสกุลบาทได้ 

คำพิพากษาย่อยาว
     คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4256/2540,11384/2540 และ 11385/2540 ของศาลชั้นต้น แต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ คงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
สำหรับคดีนี้โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 4 ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ฐานละเมิดและตามสัญญาประกันภัยเป็นเงิน 58,312,930.10 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2535 แต่คดีของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ถึงที่สุดไปแล้วโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ ส่วนโจทก์ที่ 5 ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 5เป็นเงิน 90,899,990.99 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเป็นเงินสกุลมาร์กเยอรมันตามอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่จำเลยทั้งสองชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 5
โจทก์ที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่ไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เครื่องบิน เที่ยวบินที่ ทีจี 311 ของจำเลยที่ 1 ได้รับอุบัติเหตุตกเป็นเหตุให้ผู้โดยสารทุกคนรวมทั้งนายโทมัส ฮอปปี้ถึงแก่ความตาย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 5 ประการแรกมีว่า โจทก์ที่ 5 ฟ้องคดีนี้ในฐานะเป็นมารดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรทั้งสองอันเกิดจากนายโทมัสเพื่อเรียกเอาค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมายแทนบุตรทั้งสองด้วยหรือไม่ เห็นว่าตามคำฟ้องในส่วนของโจทก์ที่ 5 โจทก์ที่ 5 ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับการเรียกค่าขาดไร้อุปการะว่า โจทก์ที่ 5 กับนายโทมัสเป็นสามีภริยากันและมีบุตรด้วยกัน 2 คน คือเด็กชายแอททิคัส ฮอปปี้ และเด็กชายทิโมเทอุส ฮอปปี้ บุตรทั้งสองกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยและโรงเรียนโจทก์ที่ 5 เป็นแม่บ้าน โจทก์ที่ 5 และบุตรทั้งสองไม่มีรายได้ใดมีแต่รายจ่าย โจทก์ที่ 5 และบุตรทั้งสองต้องอาศัยรายได้จากนายโทมัสเป็นเงินเลี้ยงชีพและค่าใช้จ่ายในการศึกษาและเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ เช่นนี้ แม้ว่าโจทก์ที่ 5 จะไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ที่ 5 ใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ในฐานะที่โจทก์ที่ 5 เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรทั้งสองด้วยก็ตาม แต่ก็มีความหมายพอเป็นที่เข้าใจได้ว่า โจทก์ที่ 5 ฟ้องคดีขอเรียกค่าสินไหมทดแทนตามสิทธิของบุตรทั้งสองด้วย จึงถือได้ว่าโจทก์ที่ 5 ฟ้องคดีนี้ในนามของบุตรทั้งสองโดยปริยายแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาว่าโจทก์ที่ 5 ไม่ได้ฟ้องคดีนี้ในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรทั้งสองนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ที่ 5 ฟังขึ้น
ส่วนปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ 5 ที่ว่า บุตรทั้งสองของโจทก์ที่ 5 มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือไม่เพียงใดนั้น ศาลล่างทั้งสองยังไม่ได้วินิจฉัย แต่ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงตามที่คู่ความนำสืบปรากฏอยู่ในสำนวนแล้ว ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้เสร็จสิ้นไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิจารณาและพิพากษาใหม่ สำหรับปัญหาที่ว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชอบต่อบุตรทั้งสองของโจทก์ที่ 5 หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการการบินพาณิชย์ขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทั้งภายในและระหว่างประเทศ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของเครื่องบินเที่ยวบินที่ ทีจี 311 และเป็นนายจ้างของนักบินตลอดจนพนักงานประจำเครื่องบินเที่ยวบินดังกล่าว จำเลยที่ 2 เป็นบริษัทจำกัดประกอบกิจการรับประกันภัยและเป็นผู้รับประกันวินาศภัยเครื่องบินเที่ยวบินที่ ทีจี 311 ดังกล่าว เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2535 เครื่องบินเที่ยวบินที่ ทีจี 311 เดินทางออกจากประเทศไทยมุ่งหน้าไปยังประเทศเนปาลและในเวลาบ่ายของวันเดียวกันเครื่องบินเที่ยวบินดังกล่าวได้ชนภูเขาหิมาลัยและตกในเขตเมืองกาฐมาณฑุ ผู้โดยสารทุกคนซึ่งรวมทั้งนายโทมัส ฮอปปี้ ถึงแก่ความตาย ดังนี้ เมื่อฟังได้ว่านักบินผู้ควบคุมเครื่องบินเที่ยวบินดังกล่าวเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และความเสียหายเกิดจากเครื่องบินซึ่งเป็นยานพาหนะที่เดินด้วยเครื่องจักรกล กรณีจึงอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 ต้องฟังในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง คดีนี้จำเลยทั้งสองอ้างว่าเหตุที่เครื่องบินเที่ยวบินที่ ทีจี 311 ชนภูเขาหิมาลัย แล้วระเบิดตกเกิดจากเหตุสุดวิสัยแต่จำเลยทั้งสองไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อบุตรทั้งสองของโจทก์ที่ 5 และจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในฐานะที่เป็นผู้รับประกันในวินาศภัยอันเกิดจากเที่ยวบินดังกล่าว ส่วนปัญหาว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อบุตรทั้งสองของโจทก์ที่ 5 เพียงใดนั้น สำหรับราคาทรัพย์สินส่วนตัวของนายโทมัสที่สูญหายไปในคราวเกิดเหตุซึ่งโจทก์ที่ 5 เรียกมาเป็นเงิน 468,015 บาทนั้น โจทก์ที่ 5 เบิกความว่า ทรัพย์สินที่สูญหายไปได้แก่กล้องถ่ายรูปพร้อมอุปกรณ์มีราคาประมาณ 30,000 บาท มาร์กเยอรมัน ฟิล์มถ่ายรูปไม่ทราบจำนวนและราคาเงินสดสกุลใด เป็นเงินเท่าใด ไม่ทราบแน่ชัดแต่เท่าที่เคยเห็นก่อนหน้านี้นายโทมัสมีเงินสดติดตัวประมาณ 2,000 ถึง 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ เสื้อผ้าและกระเป๋าเดินทางไม่ทราบจำนวนและราคา นาฬิกาข้อมือ 1 เรือน ไม่ทราบยี่ห้อและราคา สร้อยคอทองคำ 20 กะรัต 1 เส้น ไม่ทราบน้ำหนักและราคา เห็นว่า โจทก์ที่ 5 ไม่สามารถเบิกความยืนยันว่าทรัพย์สินของนายโทมัส ที่สูญหายไปในที่เกิดเหตุมีจำนวนและราคาที่แท้จริงเพียงใดทั้งโจทก์ที่ 5 เบิกความตอบคำถามค้านรับว่า โจทก์ที่ 5 คาดคะเนราคากล้องถ่ายรูปเอาเท่านั้น ทางนำสืบของโจทก์ที่ 5 จึงเป็นเพียงแต่ประมาณราคาทรัพย์สินของนายโทมัส แต่เมื่อได้ความว่า นายโทมัสมีอาชีพเป็นช่างถ่ายภาพ เหตุที่นายโทมัสเดินทางไปที่เกิดเหตุก็เพื่อถ่ายภาพนำมาจัดนิทรรศการ เชื่อว่า นายโทมัสต้องมีกล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ต่าง ๆ ติดตัวไปด้วย จึงเห็นควรกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 100,000 บาท สำหรับค่าปลงศพนายโทมัส ซึ่งโจทก์ที่ 5 ขอคิดเป็นเงิน 45,660 บาท และค่าใช้จ่ายที่โจทก์ที่ 5 และบุตรทั้งสองต้องเดินทางไปเยี่ยมและเคารพศพนายโทมัสที่เมืองกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล รวม 5 ครั้ง คิดเป็นเงิน 1,125,000 บาทนั้น เห็นว่าในทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าบุตรทั้งสองของโจทก์ที่ 5 ได้จัดพิธีการปลงศพนายโทมัสเพียงแต่ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ที่ 5 ว่า โจทก์ที่ 5 ได้จัดพิธีรำลึกถึงการตายของนายโทมัสที่บ้านของโจทก์ที่ 5 เท่านั้นและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ส่วนกรณีที่บุตรทั้งสองของโจทก์ที่ 5 เดินทางไปเยี่ยมและเคารพศพนายโทมัสในที่เกิดเหตุนั้น โจทก์ที่ 5เบิกความรับว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นค่าพาหนะและค่าที่พักให้ทั้งหมดส่วนที่โจทก์ที่ 5 ขอให้ชดใช้ค่าใช้จ่ายในอนาคตที่บุตรทั้งสองของโจทก์ต้องเดินทางไปเคารพศพนายโทมัสในสถานที่เกิดเหตุเป็นเวลา 10 ปีนั้นเห็นว่า ค่าใช้จ่ายดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคหนึ่ง ที่บุตรทั้งสองของโจทก์ที่ 5 จะใช้สิทธิเรียกร้องเอากับจำเลยที่ 1 ได้ ส่วนค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมายของบุตรทั้งสองของโจทก์ที่ 5 นั้น โจทก์ที่ 5 เบิกความตอบคำถามค้านว่านายโทมัสเคยจ่ายค่าอุปการะให้บุตรทั้งสองรวมกันเดือนละ 500 มาร์กเยอรมัน ตั้งแต่โจทก์ที่ 5 แยกทางกับนายโทมัส เมื่อพิจารณาประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าบุตรทั้งสองของโจทก์ที่ 5 มีอายุ 13 ปี และ 9 ปี เห็นควรกำหนดค่าขาดไร้อุปการะให้แก่บุตรทั้งสองของโจทก์ที่ 5 เป็นเงินรวม 2,500,000 บาท ส่วนที่โจทก์ที่ 5 ขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีที่โจทก์ที่ 5 ต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานเพราะต้องสูญเสียสามีเป็นเงิน 10,000,000 บาทนั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่าโจทก์ที่ 5 หย่าขาดจากนายโทมัสก่อนเกิดเหตุคดีนี้ โจทก์ที่ 5 ไม่มีอำนาจฟ้องในฐานะส่วนตัว โจทก์ที่ 5 ไม่ได้อุทธรณ์และฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในปัญหาดังกล่าว ดังนั้น กรณีจึงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าโจทก์ที่ 5 ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ และที่โจทก์ที่ 5 ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งอันเนื่องมาจากลูกจ้างของจำเลยที่ 1 จงใจละเมิดกฎเกณฑ์หรือมาตรฐานแห่งความปลอดภัยของการบินเป็นเงิน 20,000,000 บาทนั้น เห็นว่า ค่าเสียหายดังกล่าวมิใช่ค่าสินไหมทดแทนที่บุตรทั้งสองของโจทก์ที่ 5 จะเรียกร้องเอากับจำเลยได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 โจทก์ที่ 5 จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนนี้แทนบุตรทั้งสองของโจทก์ที่ 5 อีกเช่นกัน รวมโจทก์ที่ 5 มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนในนามของบุตรทั้งสองเป็นเงินทั้งสิ้น 2,600,000 บาท ฎีกาของโจทก์ที่ 5 ฟังขึ้นบางส่วน อนึ่ง ที่จำเลยทั้งสองแก้ฎีกาว่า บุตรทั้งสองของโจทก์ที่ 5 มิใช่บุตรที่เกิดจากนายโทมัสผู้ตายนั้น เห็นว่า โจทก์ที่ 5 บรรยายฟ้องว่า โจทก์ที่ 5 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโทมัสผู้ตายและมีบุตรกับนายโทมัสผู้ตาย 2 คน คือเด็กชายแอททิคัสและเด็กชายทิโมเทอุส จำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธว่าบุตรทั้งสองของโจทก์ที่ 5 มิใช่บุตรของนายโทมัสผู้ตาย ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าเด็กชายแอททิคัสและเด็กชายทิโมเทอุสเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายโทมัสผู้ตาย จำเลยทั้งสองย่อมไม่มีสิทธิแก้ฎีกาในปัญหาข้อนี้อีกเพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติไปแล้ว และที่โจทก์ที่ 5 ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายและดอกเบี้ยเป็นเงินสกุลมาร์กเยอรมันตามอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่จำเลยทั้งสองชำระเสร็จนั้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์ที่ 5 ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดต่อโจทก์ฐานละเมิดและตามสัญญาประกันภัยโดยคำนวณค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยทั้งสองต้องชดใช้ให้โจทก์ที่ 5 เป็นเงินสกุลบาท แม้โจทก์ที่ 5 จะมีคำขอให้จำเลยทั้งสองชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินสกุลมาร์กเยอรมันโดยคำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่จำเลยทั้งสองชำระเสร็จก็ตาม แต่ศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 5 เป็นเงินสกุลบาทได้"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 5 เป็นเงิน 2,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 196
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56

ผู้พิพากษา
เดิมพัน จรรยามั่น
ประมาณ ตียะไพบูลย์สิน
ชวลิต ธรรมฤาชุ 

แหล่งที่มา: สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ