แชร์

การใช้รถยนต์ของราชการ การเติมน้ำมันของทางราชการ หาทำให้กิจการส่วนตัวเป็นงานราชการไม่

อัพเดทล่าสุด: 6 มิ.ย. 2024
352 ผู้เข้าชม

การใช้รถยนต์ของราชการก็ดี การเติมน้ำมันของทางราชการก็ดี หาทำให้กิจการส่วนตัวของจำเลยที่ 2 กลายเป็นงานราชการของจำเลยที่ 3 ไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2516

คำพิพากษาย่อสั้น
     การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพลาธิการกองพลทหารม้า สั่งให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพลขับและสังกัดอยู่ในกองพลเดียวกัน ขับรถยนต์ของทางราชการกองพลทหารม้าไปขนปูนซิเมนต์ให้วัดซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการวัดอยู่ด้วย กิจการดังกล่าวมิใช่ราชการของกองทัพบกจำเลยที่ 3 ทั้งมิได้เกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 1 แต่ประการใด ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการ และจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในกิจการนี้โดยปริยาย เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กลับกองพลทหารม้าได้ชนรถยนต์โจทก์เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดภายในขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการย่อมต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ทำไปนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427 ประกอบด้วยมาตรา 820 (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 32/2515)
แม้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จะเป็นข้าราชการทหารสังกัดอยู่ในกองพลทหารม้าซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของกองทัพบกจำเลยที่ 3 ก็ตาม แต่การขนปูนซิเมนต์ดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ 2 มิได้เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการของจำเลยที่ 3 แต่อย่างไร การใช้รถยนต์ของทางราชการก็ดี การเติมน้ำมันของทางราชการก็ดี หาทำให้กิจการส่วนตัวจำเลยที่ 2 กลายเป็นงานราชการของจำเลยที่ 3 ไปไม่ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นแก่โจทก์
ในเรื่องค่าเสื่อมราคารถยนต์ของโจทก์ซึ่งเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้นั้น แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ฎีกาก็ตาม เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรลดจำนวนค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ผู้ฎีกา ศาลฎีกาอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 245(1) , 247 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พิพากษาให้จำเลยที่ 1รับผิดเท่ากับจำเลยที่ 2 ได้

คำพิพากษาย่อยาว
     โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นทหารประจำกองพลทหารม้า กองทัพบก กระทรวงกลาโหม อยู่ในบังคับบัญชาโดยตรงของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีหน้าที่เป็นพลขับ จำเลยที่ 2 เป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ของราชการกองพลทหารม้าโดยคำสั่งของจำเลยที่ 2 ไปขนปูนซิเมนต์ที่ท่าสาธุประดิษฐ์ไปส่งที่วัดนครป่าหมากเสร็จงานแล้วจำเลยที่ 1 ขับรถกลับกองพลทหารม้าด้วยความประมาท ชนรถยนต์แท็กซี่และรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับได้พุ่งเข้าชนรถยนต์ของโจทก์พังเสียหาย โจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจสั่งการให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติได้ จำเลยที่ 2 ไม่ได้สั่งให้จำเลยที่ 1 นำรถไปขนปูนซิเมนท์ดังฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับรถโดยประมาท เหตุเกิดเพราะความประมาทของนายเฉลิมคนขับรถแท็กซี่ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ต้องรับผิด โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายสูงเกินกว่าความจริง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดในผลการละเมิดของจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์

จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า การที่จำเลยที่ 2 สั่งให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไปขนปูนซิเมนต์ให้วัดนครป่าหมากซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการวัดและกิจการดังกล่าวมิใช่เป็นราชการของกองทัพบกจำเลยที่ 3 ทั้งมิได้เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 แต่ประการใดนั้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการ และจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในกิจการนี้โดยปริยาย เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปขนปูนซิเมนต์ให้วัดนครป่าหมากแล้วระหว่างขับรถยนต์กลับกองพลทหารม้า ได้ชนรถยนต์โจทก์เสียหายจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดภายในขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการย่อมต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ทำไปนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427 ประกอบด้วยมาตรา 820

แม้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จะเป็นข้าราชการทหาร สังกัดอยู่ในกองพลทหารม้าซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของจำเลยที่ 3 ก็ตาม แต่การขนปูนซิเมนต์เป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ซึ่งปฏิบัติไปในฐานะเป็นกรรมการของวัดนครป่าหมาก มิได้เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในทางราชการของจำเลยที่ 3 แต่อย่างใด การใช้รถยนต์ของราชการก็ดี การเติมน้ำมันของทางราชการก็ดี หาทำให้กิจการส่วนตัวของจำเลยที่ 2 กลายเป็นงานราชการของจำเลยที่ 3 ไปไม่ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นแก่โจทก์

ในเรื่องเสื่อมราคารถยนต์ของโจทก์ซึ่งเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้นั้น แม้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ฎีกาก็ตาม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 245 (1), 247 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เพียง 5,000 บาทเช่นเดียวกับจำเลยที่ 2

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดในผลละเมิดตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา เว้นแต่ในเรื่องค่าเสื่อมราคารถยนต์ของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองรับผิดเพียง 5,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247

ผู้พิพากษา
ธานินทร์ กรัยวิเชียร
อุดม เพชรคุปต์
พิชัย รชตะนันทน์

แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ