แชร์

นำรถยนต์รับจ้างไปหาผลประโยชน์ร่วมกัน ต้องร่วมกันรับผิดในทางการที่จ้าง

อัพเดทล่าสุด: 6 มิ.ย. 2024
171 ผู้เข้าชม

นำรถยนต์รับจ้างไปหาผลประโยชน์ร่วมกัน ต้องร่วมกันรับผิดในทางการที่จ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 500/2534

คำพิพากษาย่อสั้น
     จำเลยลงชื่อเป็นผู้ประกอบการขนส่งรถยนต์คันเกิดเหตุแทน ธ. โดยได้ผลประโยชน์ตอบแทน ดังนั้น เมื่อ ป. ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยขับรถยนต์คันดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งการทำละเมิดนั้นด้วย

คำพิพากษาย่อยาว
     โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-2492 สระบุรี จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-2147 ร้อยเอ็ด และได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปเข้าร่วมกิจการกับจำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบการขนส่ง โดยจำเลยทั้งสี่มีผลประโยชน์ร่วมกัน วันเกิดเหตุนายประจักษ์ลูกจ้างของจำเลยทั้งสี่ได้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-2147 ร้อยเอ็ด ไปในทางการที่จ้างของจำเลยทั้งสี่ด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหาย พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้การปฏิเสธความรับผิด

จำเลยที่ 2 ให้การว่านายประจักษ์ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เหตุที่รถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้ขับรถยนต์คันของโจทก์ จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ ส่วนฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
     ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา
     ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามเนื้อความในฎีกาของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 คงฎีกาเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างนายประจักษ์กับจำเลยที่ 2 เท่านั้น ส่วนในเรื่องการทำละเมิดของนายประจักษ์ จำเลยที่ 2 หาได้ฎีกาโต้แย้งแต่อย่างใดไม่ ศาลฎีกาจึงไม่ต้องวินิจฉัยให้ สำหรับปัญหาว่านายประจักษ์เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2หรือไม่ ปัญหาข้อนี้โจทก์นำสืบรับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 มีชื่อเป็นผู้ประกอบการขนส่งผู้มีสิทธิครอบครองและใช้รถยนต์คันดังกล่าวซึ่งมีนายประจักษ์เป็นผู้ขับ จำเลยที่ 2 กล่าวอ้างลอย ๆว่านายประจักษ์ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และนำสืบแต่เพียงว่าที่จำเลยที่ 2 มีชื่อเป็นผู้ประกอบการขนส่งผู้มีสิทธิครอบครองและใช้รถยนต์คันดังกล่าวก็เพราะจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นน้องของจำเลยที่ 2 ขอร้องให้ลงชื่อแทนนายธำรง กนกนภากุล ผู้เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทน โดยจำเลยที่ 2 ไม่รู้จักนายธำรงนั้น เห็นว่าการที่จำเลยที่ 2 ไม่รู้จักกับนายธำรงแต่ยอมลงชื่อเป็นผู้ประกอบการขนส่งแทนนายธำรงเช่นนั้น จำเลยที่ 2 เป็นผู้ประกอบการขนส่งควรรู้ว่าถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นตนจะต้องรับผิดร่วมกับนายธำรงด้วย แต่จำเลยที่ 2 ก็ยังยอมเป็นผู้ประกอบการขนส่งแทนนายธำรง แสดงว่าจำเลยที่ 2 ต้องได้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการลงชื่อเป็นผู้ประกอบการขนส่งแทนนายธำรง นอกจากนี้ยังปรากฎตามสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนโดยนายเทอดไทยบิดาของนายประจักษ์ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่านายประจักษ์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เป็นเวลานานถึง 4 ปี ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่านายประจักษ์คนขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-2147 ร้อยเอ็ด เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลการทำละเมิดของนายประจักษ์ที่ได้กระทำต่อโจทก์
พิพากษายืน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425

ผู้พิพากษา
วิทวัส อยู่วัฒนา
บุญส่ง วรรณกลาง
ตัน เวทไว

แหล่งที่มา: สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ