แชร์

ต้องรับผิดหากต้นสนผุกลวง แม้มีฝนตกฟ้าคะนอง (พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 129)

อัพเดทล่าสุด: 4 มิ.ย. 2024
249 ผู้เข้าชม

ต้องรับผิดหากต้นสนผุกลวง แม้มีฝนตกฟ้าคะนอง (พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 129)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2538

คำพิพากษาย่อสั้น
      ต้นสนที่อยู่ข้างถนนซึ่งเทศบาลจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ดูแลมีสภาพผุกลวงแม้จะมีฝนตกและฟ้าคะนองในวันเกิดเหตุแต่ก็เป็นฝนตกเล็กน้อยและปานกลางในช่วงสั้นๆและความเร็วของลมก็เป็นความเร็วลมปกติ การที่ต้นสนล้มลงทับรถยนต์โจทก์จึงมิใช่เกิดจากเหตุสุดวิสัยเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนแต่เป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 1 ที่ไม่ยอมโค่นหรือค้ำจุนต้นสนเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิด ค่าเสียหาย เพราะเหตุที่โจทก์ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิต โดยระบบประสาทไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้เสียสมรรถภาพทางเพศและไม่สามารถเดินได้กับค่าเสียหายที่โจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานจากการทุพพลภาพตลอดชีวิตเป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินทั้งสองกรณีอันเนื่องมาจากเหตุที่ต่างกันจึงแยกจำนวนให้ชดใช้ตามเหตุที่แยกออกจากกันเป็นแต่ละเหตุได้


คำพิพากษาย่อยาว
     โจทก์ฟ้องว่า จำเลย ที่ 1 เป็นนิติบุคคลมีหน้าที่ครอบครองดูแลบำรุงรักษาถนนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ บริเวณไหล่ถนนหรือบนทางเท้าในเขตเทศบาลเมืองสงขลาทั้งหมด จำเลย ที่ 2 เป็นนิติบุคคลสังกัดกระทรวงการคลัง เป็นเจ้าของและผู้ดูแลที่ดินราชพัสดุทั่วราชอาณาจักร รวมทั้งที่ดินบริเวณแหลมสนอ่อน ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุหมายเลขทะเบียน 5526 ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ที่ 11/2475 โดยจำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 2 ให้เป็นผู้ครอบครองดูแลและได้ใช้ที่ดินดังกล่าวตัดถนนชื่อถนนแหลมสนอ่อน จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างหรือต้นไม้บริเวณไหล่ถนนหรือบนทางเท้าของถนนดังกล่าว โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์กระบะคันหมายเลข ทะเบียน บ-6120 สงขลา เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2532 โจทก์ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปจอดที่ถนนบริเวณ แหลมสนอ่อน เพื่อจะรอขึ้นแพขนานยนต์ ปรากฏว่าต้นสนที่ปลูกอยู่บริเวณไหล่ถนนซึ่งโค่น ต้นผุกลวงเป็นโพรงได้ล้มมาทับรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายทั้งคันและโจทก์ซึ่งนั่งอยู่ในรถยนต์ได้รับอันตรายสาหัสทั้งนี้ เพราะจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ครอบครองดูแลต้นสนไม่ยอมโค่นหรือตัดต้นสนเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ซึ่งเป็นการไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเป็นเหตุให้เกิดเหตุดังกล่าว จำเลยที่ 2 ใน ฐานะผู้ครอบครองดูแลที่ราชพัสดุร่วมกับจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย โจทก์ได้รับความเสียหายต้องเสียค่าซ่อมรถยนต์เป็นเงิน 90,000 บาท และตัวโจทก์ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ลำคอ หลัง กระดูกสันหลังหักกด ทับไขสันหลัง ทำให้ขาทั้งสองเป็นอัมพาต ระบบประสาทไม่สามารถควบคุมการขับถ่าย เสียความสามารถสืบพันธุ์ ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิต โจทก์เสียค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่โรงพยาบาลหาดใหญ่เป็นเงินจำนวน 110,000 บาท ค่าจ้างแพทย์แผนโบราณมาบีบนวดเป็นเงิน 13,200 บาท รวมเป็นค่ารักษาพยาบาล 123,200 บาท ค่ารถเข็นเป็นเงิน 5,200 บาค่าเสียหายเพราะเหตุที่โจทก์ต้องกลายเป็นคนทุพพลภาพตลอดชีวิตเป็นเงิน 500,000 บาท ค่าเสียหายเนื่องจากต้องทนทุกข์ทรมานตลอดชีวิตเป็นเงิน 300,000 บาท และค่าขาดรายได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 8,000 บาท นับตั้งแต่วันทำละเมิดจนกว่าโจทก์อายุ 65 ปี เป็นเวลา 37 ปี คิดเป็นค่าเสียหาย 3,552,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 4,570,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ย 155,195 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงินทั้งสิ้น 4,725,595 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าเสียหาย 4,725,595 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์ครบถ้วน

     จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุเป็นที่ราชพัสดุซึ่งกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และ กระทรวงกลาโหมได้ขอใช้ที่ดินบริเวณดังกล่าวเพื่อสร้างสถานีทหารเรือสงขลา ที่ดินรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างและ ต้นไม้ในบริเวณดังกล่าวจึงอยู่ในความครอบครองดูแลของกองทัพเรือ กระทรวงกลาโหม ไม่ได้อยู่ในความ ครอบครองดูแลของจำเลยทั้งสอง ในวันเกิดเหตุมีฝนฟ้าคะนองลมพัดแรงเป็นเหตุให้ต้นสนล้มลงมาทับรถยนต์ ของโจทก์เสียหายและโจทก์ได้รับอันตรายแก่กายซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย ค่าเสียหายที่โจทก์ขอมานั้นสูงเกินความ เป็นจริง โดยค่าเคาะพ่นสีรถยนต์กระบะและค่าอะไหล่คิดเป็นเงินไม่เกิน 37,870 บาท ค่ารักษาพยาบาลเป็น เงินไม่เกิน 30,000 บาท ค่ารถเข็นไม่เกิน 5,000 บาท ค่าขาดรายได้เดือนละประมาณ 2,000 บาท เป็นเวลา 12 ปี ไม่เกิน 288,000 บาทและค่าเสียหายเพราะโจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานจากการทุพพลภาพตลอดชีวิตเป็น เงินไม่เกิน 50,000 บาท อนึ่ง ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้ระบุว่าจำเลยทั้งสองกระทำโดยจงใจหรือ ประมาทเลินเล่ออย่างไรและโจทก์ไม่ได้บรรยายในฟ้องเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลว่าแยกเป็นค่ายาหรือ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อย่างไร เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองไม่สามารถยื่นคำให้การแก้คดีได้ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
     ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 715,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
      ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายรวม 785,200 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2532 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลย ที่ 1 ฎีกา
     ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2532 ขณะที่โจทก์ ขับรถยนต์กระบะคันหมายเลขทะเบียน บ-6120 สงขลา ไปจอดที่ถนนแหลมสนอ่อน ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เพื่อจะรอขึ้นแพขนานยนต์ ระหว่างนั้นต้นสนที่อยู่ข้างถนนล้มมาทับรถยนต์โจทก์ เสียหายตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ. 9 และเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส ทุพพลภาพตลอดชีวิตตาม ใบรับรองแพทย์ เอกสารหมาย จ. 2
     ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อที่สองมีว่า ต้นสนที่ล้มทับรถยนต์ของโจทก์เสียหายและโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสนั้นเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือเกิดจากความบกพร่องของจำเลยที่ 1 จากทางนำสืบของโจทก์ประกอบ ภาพถ่ายหมาย จ. 1 และ จ. 4 เห็นประจักษ์ชัดว่าต้นสนดังกล่าวมีสภาพผุกลวง สามารถที่จะมองเห็นสภาพ ได้จากภายนอก มิฉะนั้นทางสถานีทหารเรือสงขลาคงไม่ร้องขอให้จำเลยที่ 1 จัดส่งพนักงานไปทำการโค่นต้นสนในที่เกิดเหตุ นายนิพนธ์ พยานจำเลยทั้งสองก็ยอมรับว่าตามภาพถ่ายหมาย จ. 1 และ จ. 4 เมื่อมองจาก ภายนอกจะเห็นว่าต้นสนที่เกิดเหตุมีสภาพผุกลวง แม้นายเกรียงไกร กอวัฒนา ผู้อำนวยการศูนย์อุตุนิยมวิทยา ภาคใต้ พยานจำเลยทั้งสองจะเบิกความว่ามีฝนตกและฟ้าคะนองในวันเกิดเหตุ แต่ก็เป็นฝนตกเล็กน้อยและ ปานกลางในช่วงสั้น ๆ ซึ่งพยานปากนี้เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าความเร็วของลมในวันเกิดเหตุ ประมาณ 5 ถึง 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมงถือว่าเป็นความเร็วลมปกติ ฉะนั้นการที่ต้นสนล้มลงทับรถยนต์โจทก์จึง มิใช่เกิดจากเหตุสุดวิสัย เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนแต่เป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 1 ที่ไม่ยอมโค่น หรือค้ำจุนต้นสนดังกล่าวเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์
      ปัญหาสุดท้ายตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดค่าเสียหายต่อโจทก์เพียงใด จำเลยที่ 1 ฎีกา เรื่องค่าเสียหายไว้ 4 ข้อ ข้อแรกฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 กำหนดค่าเสียหายที่โจทก์ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิตเป็นเงิน 100,000 บาทและต้องทุกข์ทรมานจากการทุพพลภาพตลอดชีวิตเป็นเงินอีก 50,000 บาทให้โจทก์ ค่าเสียหายทั้งสองกรณีดังกล่าวถือเป็นค่าเสียหายมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 อันเป็นค่าเสียหายอย่างเดียวกันไม่อาจแยกออกจากกันได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนด ค่าเสียหายให้ทั้งสองกรณีจึงขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าวและค่าเสียหายส่วนนี้โจทก์ควรได้รับเพียง 50,000 บาท นั้น เห็นว่าค่าเสียหายเพราะเหตุที่โจทก์ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิต โดยระบบประสาทไม่สามารถควบคุมการ ขับถ่ายได้ เสียสมรรถภาพทางเพศและไม่สามารถเดินได้กับค่าเสียหายที่โจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานจากการ ทุพพลภาพตลอดชีวิตนั้น ถือเป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 ทั้งสองกรณีอันเนื่องมาจากเหตุที่ต่างกันจึงแยกจำนวนที่ให้ชดใช้ตามเหตุที่แยกออกจากกันเป็นแต่ละเหตุได้ และที่จำเลยที่ 1 ว่าโจทก์ควรได้รับค่าเสียหายส่วนนี้ 50,000 บาท ศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 กำหนดค่าเสียหาย ให้ 150,000 บาท เป็นการเหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลง "
พิพากษายืน

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 434
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446

ผู้พิพากษา
สุทธิ นิชโรจน์
ปรีชา นาคพันธุ์
ระพินทร บรรจงศิลป

แหล่งที่มา: สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ