แชร์

จอดรถยนต์บรรทุกพ่วงล้ำ เข้าไปในช่องเดินรถช่องซ้าย โดยไม่เปิดไฟหรือให้สัญญาณใดๆ

อัพเดทล่าสุด: 5 มิ.ย. 2024
100 ผู้เข้าชม
**จอดรถยนต์บรรทุกพ่วงล้ำเข้าไปในช่องเดินรถช่องซ้ายโดยไม่เปิดไฟหรือใช้แสงสว่างของรถหรือให้สัญญาณใดๆ ในขณะที่ที่เกิดเหตุมืด**

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3284/2552

คำพิพากษาย่อสั้น
     จำเลยจอดรถยนต์บรรทุกพ่วงล้ำเข้าไปในช่องเดินรถช่องซ้ายโดยไม่เปิดไฟหรือใช้แสงสว่างของรถหรือให้สัญญาณใดๆ ในขณะที่ที่เกิดเหตุมืด เป็นเหตุให้ ค. ซึ่งขับรถยนต์บรรทุกหกล้อมาทางด้านหลังไม่สามารถมองเห็นรถยนต์บรรทุกพ่วงที่จำเลยจอดไว้ในระยะห่างเพียงพอที่ ค. จะหยุดรถหรือหลบหลีกไปได้ ค. จึงขับรถยนต์บรรทุกหกล้อชนท้ายรถยนต์บรรทุกพ่วงดังกล่าวมีผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัสและได้รับอันตรายแก่กาย การที่ ค. ขับรถยนต์บรรทุกหกล้อชนท้ายรถยนต์บรรทุกพ่วงดังกล่าว จึงเป็นผลโดยตรงที่เกิดจากความประมาทของจำเลยที่งดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้น จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 291, 300, 390 แต่มิใช่ผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการขับรถโดยประมาทของจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157

     คำพิพากษาย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 291, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 157

จำเลยให้การปฏิเสธ
    ระหว่างพิจารณา นายรุ่งโรจน์ และนายนิกร ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูกต้อง อนุญาตให้นายรุ่งโรจน์ซึ่งได้รับอันตรายแก่กายเข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 และอนุญาตให้นายนิกรซึ่งได้รับอันตรายแก่กายสาหัสเข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300)
     ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี และปรับ 20,000 บาทไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี คุมความประพฤติจำเลยมีกำหนด 1 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 ครั้ง ให้จำเลยทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
     ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองว่า จำเลยมีส่วนร่วมกระทำโดยประมาทด้วยหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีน้ำหนักดีกว่าฟังเชื่อได้ว่า รถยนต์บรรทุกพ่วงของจำเลยจอดล้ำเข้ามาในช่องทางเดินรถช่องซ้ายโดยไม่มีการให้สัญญาณใด ๆ ในขณะที่ที่เกิดเหตุมืด จึงเป็นการประมาทในลักษณะการงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลเช่นนั้น แต่จำเลยมิได้กระทำคือการไม่เปิดสัญญาณไฟกระพริบหรือให้สัญญาณอื่นใด จึงฟังได้ว่าจำเลยมีส่วนร่วมกระทำโดยประมาทด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าที่เกิดเหตุมีแสงสว่างสามารถมองเห็นได้ในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร จำเลยจึงไม่ต้องเปิดสัญญาณไฟหรือใช้แสงสว่างตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 61 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะแสงสว่างในที่เกิดเหตุตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าเห็นได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร จำเลยมิได้นำสืบให้ชัดเจน มีแต่ตัวจำเลยคนเดียวเบิกความลอย ๆ ส่วนบรรดาหลอดไฟที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกมาวินิจฉัยก็ไม่มีการนำสืบให้เชื่อได้ว่าขณะเกิดเหตุได้เปิดอยู่ทุกดวงหรือไม่ และระยะทางของดวงไฟอยู่ห่างที่เกิดเหตุในลักษณะจะให้แสงสว่างได้ขนาดนั้น จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 คาดหมายเอาเท่านั้น อีกทั้งขัดแย้งกับความสมด้วยเหตุผลดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฟังขึ้น

  เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเหตุที่นายคำมูลขับรถยนต์บรรทุกหกล้อพุ่งเข้าชนท้ายรถยนต์บรรทุกพ่วงคันที่จำเลยขับ ซึ่งจอดอยู่ริมถนนมิตรภาพจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัส และได้รับอันตรายแก่กาย เกิดจากความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลยที่ไม่เปิดไฟหรือใช้แสงสว่างของรถให้นายคำมูลซึ่งขับรถยนต์บรรทุกหกล้อมาทางด้านหลังสามารถมองเห็นรถยนต์บรรทุกพ่วงคันที่จำเลยจอดไว้ในระยะห่างเพียงพอที่นายคำมูลจะหยุดรถหรือหลบหลีกไปได้ การที่นายคำมูลขับรถยนต์บรรทุกหกล้อชนท้ายรถยนต์บรรทุกพ่วงดังกล่าวจึงเป็นผลโดยตรงที่เกิดจากความประมาทของจำเลยที่งดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้น หาใช่ผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการขับรถของจำเลยไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
     พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ให้ยกฟ้องสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 157
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 61
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300

ผู้พิพากษา
สุรศักดิ์ กิตติพงษ์พัฒนา
ปัญญารัตน์ วิระยะวานิช
วรพจน์ วิไลชนม์

บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ